วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

10 อันดับองค์กรลับสุดยอดที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก

องค์กรลับ มีบทบาทหน้าที่ต่างๆ ที่ดำเนินไปแบบลับๆ ซึ่งมีองค์กรอะไรบ้าง 10 อันดับต่อไปนี้

10.The Club Of Rome

เป็นองค์กรลับระหว่างประเทศที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจที่มีชื่อว่า Aurelio Peccei กับนักวิทยาศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ที่มีชื่อว่า Alexander Christakis มีบทบาทในการควบคุมเศรษฐกิจโลก การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความยากจน สินค้าอุปโภคบริโภค วัฒนธรรม และอื่นๆ

9.The Knight Templar
อัศวิน เทมพลาร์ หรือชื่อเต็มคือ(full name: The United Religious, Military and Masonic Orders of the Temple and of St John of Jerusalem, Palestine, Rhodes and Malta) เป็นกลุ่มอัศวินศาสนาคริสเตียนที่มีบทบาทในสงครามครูเสด ก่อตั้งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 12 ในปี 1119 Hughes de Payens ชนชั้นสูงจากฝรั่งเศส พร้อมกับอัศวินผู้ติดตามอีก 8 คน จุดมุ่งหมายคือปกป้องผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ และ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สร้างระบบธนาคาร ภายหลังมี ตำนานต่างๆ ที่เกิดจากกลุ่มนี้ รวมไปถึงกลุ่มนี้ค้นพบอะไรของวิเศษบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนโลกได้(ข่าวลือ บอกว่าอาจ เป็น***บแห่งพันธสัญญา ที่โมเสสใช้ติดต่อกับพระเจ้า บางตำนานก็ว่า ชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู บางตำนานก็กล่าวว่าในนั้น เก็บเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซู) แม้จะสร้างผลงานมากมาย แต่ในระยะแรกกลุ่มอัศวินนี้ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ประทังชีวิตด้วยของบริจาค จึงได้รับการขนานนามว่า อัศวินผู้ยากไร้ จนกระทั้ง 9 ปีต่อมา กลุ่มนี้สร้างชื่อเสียงหลายครั้ง จนมีผู้บริจาคเงินทองมากมายอีกทั้งมีกิจการหลายแห่ง มีดินแดนจนแทบจะครองยุโรปได้ คนชนชั้นสูงชาวยุโรปหลายคนยังส่งลูกหลานของตัวเองให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย ทำให้กลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีอำนาจนอกเหนือกฎหมาย แต่แล้วจุดตกต่ำของกลุ่มนี้ก็มาถึง เมื่อกลุ่มอัศวินนี้มีธุรกิจกู้ยืมเงิน มีลูกค้ามากู้ยืมเงินเพื่อไปทำสงครามมากมาย หนึ่งในนั้นเป็นพระราชา และเมื่อทำสงครามพ่ายแพ้พวกเขาไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ เลยวางแผนใส่ร้ายกลุ่มอัศวินนี้ว่าเป็นพวกนอกรีต บูชาปีศาจบาโฟเมต และสั่งประหาร และยึดทรัพย์สิน ผู้นำอัศวินถูกเผาทั้งเป็น จนกลุ่มอัศวินนี้ล้มสลายในที่สุด ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะล่มสลายลง แต่ยังคงทิ้งปริศนาเอาไว้หลายอย่าง เช่น เกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกที่ยังหลงเหลือในยุโรป ทรัพย์สินของอัศวินเทมพลาร์หายไปใหน ในปัจจุบันมีตำนาน เล่าลือของพวกอัศวินเทมพลาร์อยู่ทั่วไปว่ากันว่าพวกเขาได้แทรกซึมไปทั่ว ราชสหอาณาจักรอังกฤษ และมีสาขา องค์กรแตกแขนงซึ่งส่วนใหญ่จุดประสงค์คือช่วยเหลือมนุษย์ หนึ่งในนั้นคือ สมาคม Freemasonry ที่ รับธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมจากกลุ่มฮัศวิน จนกระทั้งกลายเป็น ปริศนายอดฮิตที่มักมีคนนำไปแต่งนิยายหรือภาพยนตร์เสมอ Knight Templar เป็นองค์กรลับที่ก่อตั้งโดยทางกลุ่มโรมันคาทอลิกในปี ค.ศ. 1129 ถือว่ามีอิทธิพลมากในช่วงยุคกลาง ทั้งมีการวางโครงสร้างเกี่ยวกับการเงินจากองค์กรนี้ แล้วก็แพร่สะพัดไปทั่วยุโรป และมีการวางแนวคิดเกี่ยวกับการฝากเงินทางธนาคาร และก็มีบทบาทการดำเนินกิจการของธนาคารเป็นอย่างมาก

8.Opus Dei
เป็นองค์กรลับที่ตั้งโดยกลุ่มโรมันคาทอลิก ก่อตั้งในปี ค.ศ.1928 เป็นที่รู้จักกันดีจากหนังสือ Da Vinci Code ที่มีการกล่าวว่า กลุ่มนี้เป็นองค์กรลับสุดยอดที่มีการวางแผนกันอย่างลับๆที่มีตั้งเป้าหมายในการขจัดกลุ่มของ Priori Of Sion ที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงในความคิดทางศาสนาและการเมืองด้วยโอปุสเดอีเป็นภาษา ละติน แปลว่า งานของพระเจ้า,ผลงานของพระเจ้า หรือ ”คณะสงฆ์แห่ง กางเขนศักดิ์สิทธิ์” เป็นองค์กรคาทอลิก อนุรักษ์นิยม ตั้งขึ้นในวันที่ 2 ตุลาคม 1928 โดยนักบวชสเปน โฆเซ่ มาเรียเอสคิวบา(Josemaría Escrivá de Balaguer) ที่ถูกประกาศความศักดิ์สิทธิ์เป็นนักบุญโดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ผู้ล่วงลับ จุดประสงค์ขององค์กรนี้คือช่วยเหลือ อุดหนุน สนับสนุน ส่งเสริม คณะผู้เผยแผ่คำสอนของพระเยซูเจ้าของคริสตจักรและโบสถ์ โดยส่วนหนึ่งขยายความถึงการร่วมงานกับกลุ่มพระนิกายเยซูอิ เรื่องราว ขององค์กรนี้โด่งดังจาก หนังสือ Da vinci code ของแดน บราวน์ ที่กล่าวถึงนักบวชบำเพ็ญทุกกริยา ซึ่งความจริงแล้วองค์กรนี้ไม่มีการประกอบพิธีกรรมหรือคลั่งศาสนาแต่อย่างใด เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ขององค์กร เป็นสามัญชนที่ชื่อในพระคริสต์และพร้อมที่จะเผยแผ่ความรักของพระองค์ออกไปใน วงกว้างเท่านั้น นอกจากนั้นหนังสือ ของบราวน์ยังผูกเรื่องให้บิช็อปโอปุส เดอีผู้หนึ่ง สั่งการให้นักบวช (monk) โอปุส เดลี ไปกระทำฆาตกรรม ผูกเรื่องให้บิช็อปโอปุส เดอีผู้หนึ่ง สั่งการให้นักบวช (monk) โอปุส เดลี ไปกระทำฆาตกรรม ทั้งนี้ในหนังสือเล่มนี้ได้ แม้ความจริงแล้วองค์การนี้มิได้มีนักบวชประเภทนี้แต่อย่างใด หนังสือ แดน บราวน์ยังกล่าวไปอีกว่า องค์กรนี้อยู่เบื้องหลังและมีอิทธิพลต่อการประชุมลับของบรรดาพระคาร์ดินัล เพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ต่อไป ซึ่งความจริงแล้วในจำนวนพระคาร์ดินัล 115 คน ที่จะใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งโป๊ป มีเพียง 2 คน เท่านั้นซึ่งนับเป็นสมาชิกของโอปุส เดอี แต่ ที่แน่ๆ ปัจจุบันโอปุสเดอีมีจำนวนสมาชิกมากกว่า 85000 คนใน 60 ประเทศ จนได้รับสมญานามว่า "ออคโตปุส (ปลาหมึก) ของพระเจ้า" มีศูนย์กลางการทำงานที่โรม ในปี1982 เป็นนิกายที่ขึ้นตรงกับพระราชาคณะชั้นสูง ภายใต้พระลัญจกรพระสันตะปาปา สามารถเข้าถึงพระสันตปาปาจอห์นปอลที่ 2 ได้อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ อีกทั้งได้รับความสนับสนุนและการส่งเสริมจากพระคาร์ดินัลทรงอิทธิพลจำนวนมาก พระและฆราวาสที่เป็นสมาชิกวงในของโอปุส เดอีจำนวนมาก สมาชิกในองค์กรได้ครองตำแหน่งสูงๆ ในระบบราชการของสำนักวาติกัน ทั้งนี้รวมถึง โจอาควิน นาวาร์โร-วัลส์ หัวหน้าโฆษกสำนักวาติกัน จึงไม่น่าแปลกอะไรที่หลายฝ่ายเชื่อว่าโอปุส เดอี เป็นองค์การนี้เป็นคริสตจักรอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว มีอำนาจบารมี ซึ่งซ้อนซ่อนอยู่ภายใน โดยทำตัวลึกลับและคอยบงการชักใย คริสตจักรคาทอลิกอีกชั้นหนึ่ง

7.Knight Of Columbus
เป็นองค์กรลับที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1882 โดย Michael J.Mcginy ถือเป็นองค์กรที่รวมกลุ่มกันเป็นภราดรภาพที่ใหญ่เป็นระดับโลก เป็นองค์กรที่ไม่ได้แสวงผลกำไร มีบทบาทสำคัญในเรื่องร่างกฎหมายในเรื่องความเป็นเอกภาพ การทำบุญ ความเป็นชาตินิยม ความเป็นภราดรภาพ

6.The Priory of Sion
ไพร เออรี ออฟไซออน หรือ สำนักศาสนาแห่งไซออน เป็นองค์กรลับสมาคมชายล้วนที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1956 โดยปิแอร์ ปลองตาร์ด (Pierre Plantard) ในเมืองอานเนอมาซ ทางตะวันออกของฝรั่งเศสโดยเขาได้ได้แต่งประวัติศาสตร์ขององค์กรขึ้นมา โดยอ้างว่ามันเป็นสมาคมลับที่ก่อตั้งขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อปี ค.ศ. 1099 มีหน้าที่ปกป้องสายเลือดของราชวงศ์เมโรแว็งเชียง เพื่ออ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของฝรั่งเศส จนหลายคนเชื่อและแล้วก็แพร่หลายไปทั่วยุโรป ผู้คนมากมายที่เชื่อว่าไพรออรี ออฟ ไซออนเป็นสมาคมลับในยุคเก่าซึ่งได้ปกปิดความลับที่จะล้มล้างเอาไว้ เช่น ต้นกำเนิดพระเยซู, จอกศักดิ์สิทธิ ส่วน สมาชิกคนสำคัญของสมาคมนี้ถูกกล่าวถึงใน เลส์ โดสซิเยส์เซอเกรส์ (Les Dossiers Secrets) ได้แสดงรายชื่อของเหล่าประมุข ของสมาคมลับ เดอะไพรเออรี่ออฟไซออน ซึ่งมีทั้ง เลโอนาร์โด ดาวินชี, ซานโดร บอตตีเชลลี, โรเบิร์ต บอยล์, เซอร์ไอแซก นิวตัน, วีกเตอร์ อูโก ฯลฯ(ภายหลังมีคนบอกว่ามันเป็นของปลอม) เรื่อง ราวของลัทธินี้ถูกนำไปแต่งนิยายมากมาย ในฐานะทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ประวัติศาสตร์เทียม และการสับสนอื่นๆ กลายมาเป็น กระแสหลักโด่งดังในหนังสือชื่อ The Holy Blood and the Holy Grail ในปี ค.ศ. 1982 และต่อมาในนวนิยายสืบสวนชื่อรหัสลับดาวินชี

5.The Thule Society
ก่อตั้งขึ้นในปี 1918 โดย Rudolf Von Sebottendorf เป็นกลุ่มที่รู้จักกันดีในเรื่องการสนับสนุนพรรคนาซีเยอรมันของฮิตเล่อร์ แน่นอนว่าองค์กรนี้มีความใกล้ชิดกับฮิตเล่อร์เป็นพิเศษ ที่มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และก็ควบคุมโดยนักวิชาการและกลุ่มปัญญาชน

4.Freemason
องค์กร ฟรีเมสัน เป็นองค์กรภราดรภาพที่มีที่มาของเบื้องหลังอันลึกลับตั้งแต่ราวปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 16 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป้าหมายแรกของพวกฟรีเมสันคือการต่อสู้กับศาสนาคริสต์ หลังจากนั้น เป้าหมายของพวกนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นการต่อสู้กับทุก นอกจากนั้นแล้ว พวกนี้ยังได้ใช้เครื่องหมายใหม่เป็นรูปสามเหลี่ยมและวงเวียนปลายแหลมสองด้าน เป็นสัญลักษณ์อีกด้วย แหล่งพบปะหรือที่เรียกกันว่า “ลอดจ์” (lodge) แห่งแรกของคนพวกนี้ถูก ตั้งขึ้นในอังกฤษโดยใช้คำขวัญใหม่ว่า “เสรีภาพ ภราดรภาพและเสมอภาค” การเข้าเป็นสมาชิกฟรีเมสันส์จะมีกฎระเบียบที่ เข้มงวดมาก จะต้องเป็นชายที่มีความเป็นอิสระ ไม่ผูกพัน, เชื่อในความมีตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า (จะ พระเจ้าตามความเชื่อของชาวคริสต์หรือศาสนาอื่นไม่ก็ได้) มีอายุไม่ตํ่ากว่า 18 ปี ต้องมีจิตใจดีงาม มีคุณธรรมและจริยธรรม และข้อสุดท้ายก็คือ จะต้องมีชาติกำเนิดที่เป็นไท ไม่เคยตกเป็นทาส และ ต้องผ่านพิธีกรรมลับ หากใครก็ตามที่แอบไปได้เห็นการกระทำพิธีกรรมลับอันนี้ ก็จะต้องถูก ให้เข้าเป็นสมาชิกของฟรีเมสันส์ องค์กร ฟรีเมสันในปัจจุบันมีด้วยกันหลายรูปหลายแบบในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยมีสมาชิกประมาณ 5 ล้านคนที่รวมทั้งเกือบ 2 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา และราว 480,000 คนในอังกฤษ, สกอตแลนด์ และ ไอร์แลนด์)เชื่อกันว่าองค์การนี้ได้เติบโต อย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกระจายอยู่ในทุกวงการ เช่น ประธานาธิบดีเป็น รัฐมนตรี ผู้พิพากษาศาลสูง วุฒิสมาชิก ผู้ว่าการรัฐ ฯลฯ คน ระดับโลกที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกขององค์กรลับตั้งแต่เด็กๆ องค์กรเหล่านี้รับสมาชิกยากมากจริงๆ แต่เมื่อรับไปแล้ว สมาชิกก็จะเขยิบขึ้นเป็นคนระดับโลก เดินทางมาไหนไปประเทศใด จะมีมือที่มองไม่เห็นคอยจัดการอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง เมื่อปฏิบัติ การงานสิ่งใด ก็จะมีมือที่มองไม่เห็นคอยจำกัดศัตรูเพื่อให้ท่านใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น องค์กรนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่สืบทอดจากกลุ่ม The Knight Templar ก็ได้ ที่มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกัน ที่เน้นความเชื่อว่าจะต้องมีเมตตาต่อทุกๆคนและก็ปฏิเสธบทบัญญัติทางศาสนา เชื่อกันว่าเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมระบบการเมืองโลกและระบบกฎหมาย

3.Skull And Bones
สมาคม หัวกะโหลกและกระดูกไขว้เป็นสมาคมที่ก่อ ตั้งในมหาวิทยาลัยเยลในปี 1832 เริ่มต้นขึ้นในหมู่นักศึกษาปีสุดท้าย จากนั้นสมาชิกเก่าจะคัดเลือกทาบทามเชิญนักศึกษาเพียงปีละ 15 คน โดยมีคุณสมบัติของผู้จะได้รับการคัดเลือกคือ ในครอบครัวเคย เป็นสมาชิกองค์กรนี้มาก่อน, เป็นคนหนุ่มไฟแรงมีความกระตือรือล้นสูง, ชอบการเมือง, ฐานะดี, ฉลาด, เก่งกีฬาและชอบทำงานเป็นทีม โดยสมาชิกทุกคนจะต้องทาพบหน้าทุกวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ในแต่ละสัปดาห์ โดยสมาชิกเหล่านี้ถูกเรียกว่า “สุสาน” สมาคมแห่งนี้ให้ความสำคัญต่อ สมาชิกเป็นหลัก และเคารพกฎเหนือสิ่งอื่นใด โดยทิ้งความเชื่อเดิมและรับเอาเป้าหมายและปรัชญาของ สมาคม เพียงหนึ่งเดียวคือ เป็นผู้นำโลก ในแต่ละช่วงสมาชิกสมาคมนี้จะมีประมาณ 500-600 คน ปัจจุบัน ว่ากันว่าสมาชิกของสมาคมนี้ก่อร่างสร้างตัวเป็นตระกูลมั่งคั่ง เป็นเจ้าเศรษฐกิจ มีอิทธิพลไพศาลของโลก เช่นตระกูล Harriman, Rockefeller, Payne, Davison นอกจากนี้ยังแทรกซึมไปทุกวงการของ สังคมอเมริกัน เช่น รัฐบาล นักกฏหมาย นักการเมือง สื่อสารมวลชน การศึกษา ธนาคาร นักธุรกิจ การค้า อุตสาหกรรม สำนักพิมพ์ คริสตจักร ในตำแหน่งบริหารอันดับสูง ทำการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย กิจกรรมทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อจริงของสมาชิก จะถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด ว่ากันว่าองค์กร CIA ถูกสมาคมนี้ชักใยอยู่เบื้องหลัง และบุคคลสำคัญในปัจจุบันที่เปิดเผยตัวได้ คือ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา จอร์จ บุช เขาเป็นสมาชิกของสมาคม หัวกระโหลกไขว้ และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญใน CFR และสมาคม หัวกะโหลกและกระดูกไขว้เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1832 โดย William H. Rusell ถือเป็นองค์กรที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ริเริ่มโครงการต่างๆอย่างเช่นอาวุธนิวเคลียร์ และเชื่อว่าเป็นองค์กรที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารประธานาธิบดี John F.Kennedy ด้วย มีการคิดอยู่เหมือนกันว่าทาง CIA เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาเหมือนกัน


2. The illuminati
สมาคมอิลลูมิ นาติ มาจากภาษาลาติน แปลว่า การรู้แจ้ง เป็นอีกหนึ่งสมาคมที่อยู่เบื้องหลังความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถูกเชื่อมโยงกับการปฏิวัติโดยเฉพาะอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย และไทย สมาคมนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1776 (ปีเดียวกันกับที่อเมริกาประกาศอิสรภาพ)ในเมืองอินกอลสตาดท์ (บาวาเรียตอนบน) โดยอดัม ไวส์ฮอปต์ (Adam Weishaupt) ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน(เกิดในปี ค.ศ.1748 และ เสียชีวิตในปี) ซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสในคณะเยซูอิต และเป็นศาสตราจารย์ด้านประมวลกฎหมายโรมันเกี่ยวกับศาสนาที่เป็นฆราวาสคนแรก ที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์ ต่อมาสมาคมนี้ได้มีอิทธพลต่อปัญญาชนและกฎหมาย มีสมาชิกหลายคนเป็นนักการเมืองที่เจริญหน้าที่การงาน แนวคิดและจุด ประสงค์นิกายนี้ค่อนข้างน่ากลัวนิดหนึ่ง คือกลุ่มนี้ยึดถือมั่น “การจัดระเบียบโลกใหม่” การกำกับดูแลปกครองประเทศต่างๆทั่วโลก ผ่านรัฐบาลโลกอิสระ โดยยึดถือกฎเดียวกัน ยึดถือ ศาสนายูดาย โดยมีกลุ่มชนชาติยิวเป็นกำลังหลัก มีแนว บางทฤษฎีก็เชื่อว่า มีความต้องการที่จะให้ประเทศอิสราเอลเป็นเมืองหลวง Illuminati เป็นกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังอำนาจอย่างลับๆ โดยการควบคุมเหตุการณ์ในโลกทุกวันนี้ผ่านทางรัฐบาลและกลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็น การแทรกซึมและโค่นล้มรัฐบาลของหลายๆรัฐในยุโรป การปฎิวัติที่ฝรั่งเศส และรัสเซีย จัดฉากและก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย เป็นผู้สนับสนุนเงินทั้งหมดให้ฮิตเลอร์ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวไป 6 ล้านคน, ก่อตั้ง UN หรือสหประชาชาติ IMF และ World Bank หรือธนาคารโลก และองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ขึ้นเพื่อเดินหมากตัวต่อไป……ยึดครองโลก สำหรับ ในปัจจุบัน หลายคนเชื่อว่าสมาคมนี้ยังคงเป็นเงาที่ดำเนินการและจัดการนโยบายรัฐบาลของ โลก ครอบคลุมถึงการแทรกซึมควบคุมทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การใช้อำนาจอย่างลับๆ โดยการควบคุมเหตุการณ์ในโลกทุกวันนี้ผ่านทางรัฐบาลและกลุ่มบุคคลอื่นๆใน ประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย และคำว่า อิลลูมินาติ มักจะถูกใช้อ้างถึง New World Order (NWO) นักทฤษฎีสมคบคิดจำนวนมากเชื่อว่าอิลลูมินาติอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่จะนำ ไปสู่การสถาปนาลัทธิดังกล่าว และข้อเท็จจริงที่สร้างความสับสนมากขึ้นไปอีกก็คือ ปัจจุบันมีกลุ่มภราดรหลายกลุ่มที่มีคำว่า "อิลลูมินาติ" อยู่ในชื่อกลุ่มด้วยเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1776 โดย Adam Weishaupt ในทฤษฎีสมคบคิดก็เชื่อกันว่าองค์กรนี้ยังดำเนินกิจการอยู่ถึงทุกวันนี้ โดยเชื่อว่ามีบุคคลสำคัญระดับโลกอย่าง David Rockefeller ครอบครัวของ Bush ทั้งยังมี Barack Obama กับ Winston Churchill อีกด้วย ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นองค์กรที่ควบคุมโลกทั้งใบอยู่ขณะนี้ และมองว่าเป็นรัฐบาลโลกทั้งใบอีกด้วย

1.The Bilderberg Group
เป็นองค์กรลับและก็มีการเปิดเผย ซึ่งเป็นองค์กรที่รวบรวมบุคคลที่มีอิทธิพลระดับโลก ทุกพื้นที่ทั่วโลก ที่เกี่ยวกับทางด้านความมั่งคง การศึกษา การเมือง ธุรกิจ สื่อสารและการบริหารต่างๆ (อาทิบิล คลินตัน ,โทนี่ แบร์ รวมไปถึงบุคคลระดับราชวงค์ก็มีด้วย)เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีแนวคิดต่อต้านประเทศอเมริกาอยู่พอสมควร มีการดำเนินนโยบายแบบลับๆ แม้ว่าจะมีการเปิดเผยองค์กร แต่ก็มีการประชุมกันแบบลับๆ อยู่ดี ซึ่งทฤษฎีสมคบคิดมีการตั้งข้อสงสัยว่า องค์กรนี้เป็นองค์กรที่จะทำการเปลี่ยนโลกของตัวเองในอนาคต และอยู่เบื้องหลังเรื่องการเมือง การเงิน เศรษฐกิจ และอื่นๆด้วยและหาก Illuminati อยู่เบื้องหลังควบคุมการทหาร และการสงครามทั้งหมด The Bilderberg Groupd ก็คือสมาคมที่อยู่เบื้องหลังการเงิน เศรษฐกิจและที่ปรึกษาและการวางแผนระดับสูง และควบคุมนโยบายหลักๆ ของรัฐบาลของ โลก บิล เดอร์เบิร์กเป็นอีกสมาคมหนึ่งที่อยู่คู่กับฟรีเมสัน ในยุค 1954 ก่อตั้งโดย Dr. Joseph Retinger ชาวยิวเจ้าเก่า โดย การประชุมนัดแรกนัดกันที่โรงแรม Hotel de Bilderberg เมืองอูสเตอร์บีก ฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อกลุ่ม กลุ่มนี้เป็นสมาคมลับของชนชั้นสูง สำหรับเหล่ามหาเศรษฐี ในโลกแห่งการทำธุรกิจและธนาคารข้ามชาติ, วงจรการ เมือง และรวมถึงประชาชนทั่วไปที่เป็นมืออาชีพ โดย กลุ่ม Bilderberg จะทำการประชุมกันปีละครั้ง.. อย่างเปิดเผย โดยจะมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 100 ที่นั่ง ทุก 1 ปีที่เจอกัน คนเหล่านี้มาด้วยคำถามซ้ำๆกันทุกปีว่า “เรา จะเปลี่ยนโลก นี้ ให้เป็นอย่างที่พวกเรา(ชาวยิว)อยากให้เป็นไปได้อย่างไร ? ในฐานะที่เรา(ชาวยิว)เป็นรัฐบาลโลกที่แท้จริง” พอประชุมเสร็จก็มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าประชุมอะไรกันไปบ้าง แต่จะไม่พูดถึงวาระลับซ่อนเร้นที่รู้กันเฉพาะในหมู่สมาชิกเท่านั้น ว่า กันว่ากลุ่มนี้เกี่ยว ข้องกับ Illuminati และฟรีเมนสัน ในเหตุการณ์ถล่มอัฟกานิสถานและอิรัก ความพยายามในการสกัดกั้นจีนความรุนแรงในบางจังหวัดของบางประเทศ ฯลฯ จุดมุ่งหมายคือเพื่อโลกเสรีไม่เอาคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน The Bilderberg Group มีสมาชิกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอำนาจจากภาคธุรกิจและการเมือง เช่น สมาชิกกลุ่มนี้ทั้งที่ตายไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น เฮนรี คิสซิงเจอร์, บิลล์ เกตส์, เดน นิส เฮียเลย์ (อดีตผู้นําพรรคแรงงานและ รมว.ความมั่นคงของอังกฤษ), เดวิด ร็อคกีเฟลเลอร์, เจ้าชายเบิร์นฮาร์ด (พระสวามีของราชินีจูเลียนา แห่งเนเธอร์แลนด์), โรนัลด์ รัมส์เฟลด์ ฯลฯ.. นอกจากนี้ยังมี Lord Rothschild และ Laurance Rockefeller 2 ใน 100 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เข้าร่วมวงไพบูลย์ด้วยอีกคน(มีข่าวลือด้วยนะว่าทักษิณก็เป็นสมาชิกกลุ่ม นี้........)



Credit : Pantip






วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กว่าจะมาเป็น iPhone



Jobs พูดถึงการสร้าง iPhone ไว้ตั้งแต่ช่วงเปิดตัว iPod เมื่อปี 2001 คอนเซป iPhone คือพกเครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง ทั้งเช็คอีเมล, โทรศัพท์ หรือฟังเพลง แต่ต้องพบกับข้อจำกัดมากมาย เช่น การเล่นอินเทอร์เน็ตหรือดาวน์โหลดไฟล์เพลงนั้นช้า เพราะข้อจำกัดทางด้านชิพและสัญญาณอินเทอร์เน็ต ส่วนอีเมลก็เจอปัญหาเจ้าตลาดอย่าง RIM (BlackBerry) แอปเปิลเคยถึงขั้นคิดซื้อ Motorola ในปี 2003 แต่ก็ล้มเลิกเพราะเป็นดีลที่ใหญ่เกินไป

Jobs ไม่อยากเป็นคู่ค้ากับบริษัทเจ้าของเครือข่าย เพราะอำนาจต่อรองของพวกเขาสูงมาก และสามารถบังคับให้บริษัททำมือถือแบบที่ต้องการได้ แอปเปิลเคยเกือบจะเป็น MVNO (Mobile Virtual Network Operator ผู้ให้บริการเครือข่ายภายใต้ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่อีกที เช่น i-mobile 3GX เป็น MVNO ของ TOT) ของ Sprint แต่สุดท้ายได้เจรจากับ Cingular (ปัจจุบันคือ AT&T) สำเร็จในปี 2006 (อ่านเพิ่มเติม: Steve Jobs เคยถูก AT&T ติงว่าทำไม iPhone ไม่มีคีย์บอร์ด)

Tony Fadell หลักสำคัญอีกคนในโปรเจค iPhone เขาเคยเป็นหลักสำคัญในการสร้าง iPod ด้วย (Fadell ลาออกไปก่อตั้งบริษัท Nest ของตนเองในปี 2010) บอกว่า โปรเจคต่าง ๆ ของแอปเปิลมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ แต่โปรเจค iPhone นี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก

Jobs อยากให้ OS X ดัดแปลงรันบน iPhone ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องน่าปวดหัวมากสำหรับวิศวกร เพราะการรันระบบปฏิบัติการมโหฬารอย่าง OS X บนชิพขนาดจิ๋วอย่าง iPhone ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โค้ดนับล้านบรรทัดต้องเขียนใหม่ และวิศวกรต้องจำลองความเร็วของชิพและการใช้แบตเตอรี่เอง เพราะกว่าชิพที่ต้องการจะออกมาให้ใช้ได้จริงก็ในปี 2006

ในเวลานั้นมีมือถือบางรุ่น เช่น Palm Treo ประสบความสำเร็จในการใส่หน้าสัมผัสแบบตรวจสอบแรงกด แต่หน้าจอมัลติทัชยังไม่เคยมีใครใส่เข้ามาในสินค้าได้ เทคโนโลยีสัมผัสแบบแบบ capacitive เริ่มมีงานวิจัยในช่วงปี 1960 ส่วนเทคโนโลยีหน้าจอมัลติทัชแบบ capacitive ก็เพิ่งจะมีงานวิจัยในปี 1980 จึงเป็นความท้าทายครั้งใหญ่เมื่อแอปเปิลจะนำหน้าจอแบบนี้มาใส่ใน iPhone แถมต้องผลิตในปริมาณมาก ๆ เพราะทำตัวต้นแบบก็แพงแล้ว

ในปี 2003 วิศวกรแอปเปิลได้หาวิธีนำเทคโนโลยีมัลติทัชใส่ในแท็บเล็ตได้สำเร็จ Joshua Strickon วิศวกรแอปเปิลในโปรเจคนั้นบอกว่าเพราะ Jobs ต้องการอุปกรณ์อ่านอีเมลในห้องน้ำ และโปรเจคนี้ได้หยุดชะงักไปในปี 2004 เพราะตัวโปรเจคมีทิศทางไม่ชัดเจนและหาคนทำต่อไม่ได้

Tim Bucher ผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิลในตอนนั้นบอกว่า ปัญหาของต้นแบบอีกอย่างคือระบบปฏิบัติการ OS X ที่ออกแบบมาให้ใช้กับเมาส์ ไม่ใช่นิ้วมือ

Jobs เรียก Fadell เข้าไปหา เขาเล่นสินค้าต้นแบบหน้าจอประมาณ 10-12 นิ้วและวิจารณ์ต่าง ๆ นานา เช่น มันใหญ่ไป, จะทำโทรศัพท์จากไอ้นี่จริง ๆ หรือ? ตอนนั้น Fadell ยังไม่รู้เรื่องโปรเจคนี้ดีเพราะเขารับผิดชอบด้าน iPod ซึ่งโปรเจคนี้เป็นโปรเจคฝั่ง Mac แต่ Fadell ฉลาดพอที่จะไม่ปฏิเสธ Jobs (การปฏิเสธ Jobs โทษสูงสุดคือไล่ออก) โดย Fadell ทดลอง 2-3 ครั้งกว่าจะพบวิธีที่ลงตัวที่สุดในการทำหน้าจอสัมผัสและผลิตขึ้นมาได้สำเร็จ

แอปเปิลไม่มีความรู้ด้านสัญญาณโทรศัพท์เลย แต่ต้องสร้างห้องปฏิบัติการทดลองสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นมาเอง ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งคาดว่าโปรเจค iPhone นี้ใช้เงินไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์



ต้นแบบ iPhone ในปี 2005 เป็น iPod ที่มีปุ่มหมุนโทรศัพท์ เหมือนที่ Jobs เล่นมุกตลกโชว์ใน Keynote วันเปิดตัว iPhone และกว่าต้นแบบจะเป็นรูปเป็นร่างคล้ายของจริงที่เปิดตัวก็เป็นต้นแบบรุ่นถัด มา 2006



ปัญหาต่อมาคือทีมงานออกแบบ นำโดย Jonathan Ive อยากให้ด้านหลัง iPhone เป็นอลูมิเนียมทั้งชิ้น Jobs ก็เห็นด้วย แต่ต้องเจอปัญหาการรับสัญญาณ ทีมงานออกแบบก็เป็นศิลปินทั้งนั้น ชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ล่าสุดของเขาคือ grade 8 (เทียบเท่า ม.2) แต่พวกเขามีอิทธิพลในบริษัทมาก Grignon และ Rubén Caballero (วิศวกรเสาสัญญาณ) ต้องเชิญ Jobs และ Ive เข้าไปอธิบายในห้องประชุม เขาเจอคำถามจากทีมออกแบบ เช่น “ทำไมเราไม่เจาะช่องเล็ก ๆ เพื่อให้สัญญาณผ่านเข้าไปได้?” ก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้ว่าเพราะอะไร (ไม่งั้นนักออกแบบจะยืนกรานว่าต้องทำ) เป็นที่มาว่าทำไมด้านหลังของ iPhone รุ่นแรกจึงมีสองสี

ทีมงานระดับหัวกะทิของแอปเปิลที่ทุกคนมั่นใจว่าตัวเองเก่ง พอเจอโปรเจค iPhone ที่มีข้อจำกัดและอุปสรรคมากมาย หลายคนจึงเครียดและลาออกจากบริษัทไประหว่างทำโปรเจคหรือหลังจากโปรเจคเสร็จ สิ้นแล้ว

Jon Rubinstein ผู้บริหารระดับสูงด้านฮาร์ดแวร์ในเวลานั้นเสนอว่าควรทำ iPhone สองขนาด คือ iPhone ขนาดธรรมดากับ iPhone ราคาย่อมเยาว์ แต่ทรัพยากรมีจำกัด ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง iPhone ราคาย่อมเยาว์จึงถูกตัดทิ้ง

ลับสุดยอด

โปรเจค iPhone ใช้วิศวกรและนักออกแบบนับร้อยทำงาน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พนักงานจะเอาเรื่องโปรเจคลับไปพูดให้ใครฟังไม่ได้ ถ้ารู้ว่าใครไปพูดให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคู่สมรส คนพูดมีสิทธิ์ถูกไล่ออก พนักงานที่ผู้บริหารมองว่าจะดึงตัวมาทำโปรเจคต้องเซ็นสัญญาห้ามเปิดเผยความ ลับในออฟฟิศก่อนที่จะเริ่มพูดว่าเป็นโปรเจคเกี่ยวกับอะไร และหลังจากนั้นต้องเซ็นสัญญาว่าจะแพร่งพรายเรื่องนี้

Scott Forstall รองประธานฝ่าย iOS ที่เพิ่งถูกไล่ออกลาออกจากแอปเปิลในเดือนตุลาคมปี 2012 เล่าว่า Jobs ไม่ต้องการจ้างคนนอกบริษัทมาทำงานด้านส่วนติดต่อผู้ใช้ Forstall จึงหาหัวกะทิในบริษัทมาในห้องทำงานของเขาและบอกว่า “พวกคุณคือคนเก่งในหน้าที่ของคุณ ผมมีโปรเจคอื่นที่ต้องการตัวคุณ อยากให้คุณพิจารณา ผมบอกคุณไม่ได้ว่ามันคืออะไร บอกได้แค่ว่าคุณต้องสละเวลากลางคืนและวันเสาร์อาทิตย์ มันเป็นงานที่หนักกว่างานที่คุณเคยทำมาตลอดชีวิตแน่”

การจะติดต่อกับซื้อสินค้าจากบริษัทอื่น ต้องหลอกว่าเอามาทำ iPod รุ่นใหม่ ต้องเขียนแผนผังงานและออกแบบผลิตภัณฑ์ปลอม หรือแม้กระทั่งให้พนักงานปลอมตัวเป็นพนักงานบริษัทอื่นเพื่อไม่ให้รู้ว่าแอ ปเปิลทำอะไรอยู่

คนอื่นนอกจากคนวงในรวมทั้ง Jobs ไม่มีสิทธิ์เข้าห้องทำงานชั้น 1 ที่อาคาร 2 ของ Ive ได้เลย การรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก ถึงกับมีความเชื่อว่า หากใครที่ไม่ได้รับอนุญาตินำบัตรพนักงานมาแตะเครื่องแสกนบัตร ระบบจะเรียกยามมาลากตัวออกไป

โปรเจคนี้ห้ามพนักงานในฝ่ายคุยกันเอง วิศวกรออกแบบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก็ต้องทดสอบฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ปลอม ส่วนวิศวกรซอฟต์แวร์ก็ต้องทดสอบซอฟต์แวร์บนฮาร์ดแวร์เสมือน (simulator)

งานเปิดตัว

แอปเปิลจ่ายเงินเช่าหอประชุม Moscone ทั้งหมด สร้างเป็นแล็บทดสอบ iPhone และห้องพักของ Jobs หน้าประตูมียามเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เข้าออกสถานที่ทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบรายชื่อจาก Jobs ส่วนพนักงานรับเหมาที่แอปเปิลจ้างให้จัดงานนี้โดยเฉพาะต้องนอนค้างในคืนก่อน วันงานเพื่อป้องกันความลับรั่วไหล

Jobs ยืนกรานต้องสาธิตสดเท่านั้น จะไม่อัดเทปมาเปิดในงาน เขาซ้อมพรีเซ้นท์ก่อนวันงานติดต่อกัน 5 วัน ทีมวิศวกร iPhone ต้องนั่งดู Jobs ซ้อมด้วย หากผิดพลาด Jobs จะไม่โทษตัวเองแน่ ทีมงานจึงต้องรับมือกับการระเบิดอารมณ์ของเขาโดยจะเจอกับเสียงด่ามาพร้อมคำ พูดแรง ๆ เช่น “แกมัน…(คำหยาบ)…ของบริษัทฉัน” หรือ “ถ้าเราเจ๊งกันหมด มันเป็นความผิดของแก”

Jobs อยากให้การสาธิตบนเวทีฉายหน้าจอ iPhone บนโปรเจคเตอร์ด้วย สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก บริษัททั่วไปก็มักจะมีกล้องวิดีโอด้านหลังฉายขึ้นจอ แต่ Jobs ไม่ต้องการแบบนั้นเพราะมือเขาจะบัง วิศวกรจึงต้องสร้างบอร์ดพิเศษแปะไว้หลังเครื่องและต่อออกไปที่โปรเจคเตอร์

ซอฟต์แวร์เสารับสัญญาณ Wi-Fi ของ iPhone ยังไม่เสถียร iPhone ในงานจึงถูกต่อขยายเสาสัญญาณเพื่อให้สัญญาณนิ่ง และต้องเปลี่ยนความถี่ Wi-Fi ทั้งของ iPhone และตัวส่งเป็นความถี่พิเศษของญี่ปุ่นที่ไม่มีอุปกรณ์ใดในอเมริการับได้ เพราะหากใช้คลื่นความถี่มาตรฐาน แม้จะซ่อนเครือข่ายเฉพาะสำหรับ iPhone ไว้ได้ แต่คนที่นั่งอยู่ในหอประชุมนั้นเป็นเซียนคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น พวกเขาสามารถแฮกสัญญาณได้และต้องเกิดการผิดพลาดกลางงานแน่

Jobs จะโทรออกจริง ๆ ระหว่างสาธิตด้วย AT&T จึงต้องมาตั้งสถานีฐานเคลื่อนที่ (cell tower) ใกล้ ๆ งาน เพื่อให้สัญญาณแรงพอ วิศวกรต้องเขียนโปรแกรมให้หน้าจอแสดงสัญญาณโทรศัพท์เต็ม 5 ขีดตลอดเวลา เพราะโอกาสที่ซอฟต์แวร์เสาสัญญาณจะแครชและรีบู๊ตใหม่ในช่วง 90 นาทีของ Keynote นั้นมีสูงมาก

iPhone มีปัญหาเกี่ยวกับแรม ตัวเครื่องมีแรมแค่ 128MB ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ก็ยังมีขนาดใหญ่และไม่ลงตัว หากใช้ iPhone สักพัก แรมจะเต็มเครื่องจะรีสตาร์ท จึงต้องมีอุปกณ์ไว้สาธิตหลายเครื่อง เพราะหากเครื่องหนึ่งแรมเต็มและรีบู๊ต Jobs จะเปลี่ยนเครื่อง การพรีเซ้นท์จะมีลำดับการโชว์ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่วางแผนกันมาอย่างดีแล้วว่าจะไม่เจ๊งกลางงาน

ในงานเปิดตัว Grignon ซื้อเหล้าสก๊อตมา เหล่าวิศวกรทั้งหลายนั่งลุ้นตอน Jobs สาธิต iPhone หากถึงส่วนรับผิดชอบของใคร คนนั้นก็จะซดเหล้า 1 shot และสุดท้ายงานก็ผ่านไปด้วยดี เป็นการสาธิตที่ดีที่สุดที่เคยมีมา หลังจบงาน Keynote ทีมงาน iPhone ก็ได้เข้าเมืองไปดื่มฉลองจนเมาเลยทีเดียว

ที่มา : macthai


วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Oculus Rift VR Headset มันคือ Nerve Gear ในโลกแห่งความจริง!!

เกมส์บุคคลที่1 จริงแล้วผมว่าจุดมุ่งหมายจริงๆนั้นต้องการให้ผู้เล่นได้เสมือนเข้าไปอยู่ในเกมส์จริงๆ ปัจจุบันนั้นได้กำเนิดอุปกรณ์ที่ทำให้เราเสมือนเข้าไปอยู่ในเกมส์บุคคลที่1 ที่สุดแล้วนั่นก็คือ Oculus Rift VR Headset

 อุปกรณ์ ชิ้นนี้เป็นจอภาพแบบสวมหัวที่แยกตาซ้ายและขวาออกจากกัน ภาพที่ได้จึงเป็น 3 มิติแบบเต็มๆ(เหมือนทีวี 3 มิติที่ใส่แว่นแบบกระพริบ แต่อันนี้แยกจอให้เลย)ปรกติการมองหน้าจอของเรา เราสามารถมองเห็นวิวต่างๆ ได้สูงสุดแค่ ประมาณ 40 องศา แต่ถ้าเราใช้ Oculus Rift มุมมองของผู้ใช้จะถูกเพิ่มขึ้นมากถึง 110 องศา เหมือนกับใช้ตาจริงๆ ในการมอง นอกจากนั้น Oculus Rift ยังตรวจจับการเคลื่อนไหวทำให้เราสามารถมองในหลากหลายมุมได้ โดยจะมีระบบช่วยในการมองที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองไปตามองศาที่ผู้ใช้หันไป นอกจากนั้นยังแสดงภาพในรูปแบบ 3D ด้วย
 Oculus Rift นั้นจะขยายจอให้กว้างกินไปถึงหางตาจนรู้สึกว่าเราได้อยู่ในเกมจริงๆนะ ไม่ใช่นั่งหน้าจอแถมยังติดระบบจับการเคลื่อนไหวของหัว ทำให้เวลาเรากวาดคอ แหงนมองบน ก้มมองล่าง มุมมองในเกมก็จะเปลี่ยนตาม(ด้วยเฟรมเรทตามความแรงของคอม)   สิ่งที่ได้ก็คือ ความอิน ชนิดได้อารมณ์ร่วมแบบที่เกมไม่เคยทำได้มาก่อน อาจมีบ้างที่เวลาเล่นเกมน่ากลัวจะมีจังหวะที่ "ไม่กล้าเดินเข้าไปเลยว่ะ" แต่มันเทียบไม่ได้เลยเวลาใส่ไอ้เจ้านี่เล่น  
แต่ทั้งนี้เจ้า Oculus Rift VR Headset นั้นยังอยู่ระหว่างการพัฒนาและไม่มีเกมพัฒนาออกมารองรับ สำหรับตอนนี้เราสามารถสั่งซื้อได้ แต่ทางทีมงานไม่แนะนำครับ เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่ซื้อไปมักจะนำไปทำการพัฒนาเกมต่างๆ มากกว่า โดยสามารถซื้อได้ในราคา 300 USD พร้อมกับการเข้าถึง กราฟิก Unreal, Unity และเกม Doom 3 ที่ปรับแต่งมาสำหรับเจ้า  Oculus Rift VR Headset โดยเฉพาะเท่าที่ดูแล้วถ้าเจ้านี้สามารถใช้งานจริงได้เมื่อไรรับรองว่าวงการ เกมอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอนครับ

จากการทดลองใช้
 
ได้ทดลองให้ผู้เล่นสวมแว่นที่มีฉากในเกมต้องเดินข้ามตึกสูงหลายสิบชั้นบนท่อน เหล็กแคบๆ แล้วให้เดินบนพื้นเปล่าๆ ใช้ระบบจับการเคลื่อนไหวเต็มตัว และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าผู้ที่ทดลองใช้นั้นบางคนไม่กล้ากระทั่งก้าวเท้า(ถอดแว่นยอมแพ้ไป) ทั้งที่รู้เต็มอกว่าตัวเองยืนอยู่ในห้อง! 
 
 การทดลองใช้ของผู้ใช้ชาวไทย

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตุลาทมิฬ (14 ตุลา)



เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516
วันมหาวิปโยค เป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนในประเทศไทย มากกว่า 5 แสนคน ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร โดยในเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 77 ราย บาดเจ็บ 857 ราย และสูญหายอีก จำนวนมาก ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 สาเหตุ เหตุการณ์เริ่มมาจากการที่จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหารตัวเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 โดยนักศึกษาและประชาชนมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจตนเองจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งในขณะนั้นจอมพลถนอมจะต้องเกษียณอายุราชการเนื่องจากอายุครบ 60 ปี แต่กลับต่ออายุราชการตนเองในตำแหน่้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกไป อีกทั้งพลเอกประภาส จารุเสถียร บุคคลสำคัญในรัฐบาล ก็มิได้รับการยอมรับเหมือนจอมพลถนอม ก็จะได้รับยศจอมพล และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ประกอบกับข่าวคราวเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการต่าง ๆ สร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนอย่างมาก การเดินขบวนครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ออกไปตามถนนราชดำเนิน สู่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาและมีประชาชนเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก (คาดการกันว่ามีราว 500,000 คน) แกนนำนักศึกษาได้เข้าพบเจรจากับรัฐบาลและบางส่วนได้เข้าเฝ้า ฯ จนได้ข้อยุติเพียงพอที่จะสลายตัว แต่ทว่าด้วยอุปสรรคทางการสื่อสารและมวลชนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากไม่อาจควบคุม ดูแลได้หมด ก็นำไปสู่การนองเลือดในเวลาประมาณ 05.55 น. ของวันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม เมื่อเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่บริเวณหน้าพระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน ด้านถนนราชวิถีตัดกับถนนพระราม 5 เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมจะสลายตัวกลับทางนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผ่าน จึงเกิดการปะทะกันจนกลายเป็นการจลาจล และลุกลามไปยังสนามหลวง, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และถนนราชดำเนิน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เวลาบ่าย พบเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินวนอยู่เหนือเหตุการณ์และมีการยิงปืนลงมาจาก เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเพื่อสลายการชุมนุม โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าบุคคลที่ยิงปืนลงมานั้นคือ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร บุตรชายของจอมพลถนอม และบุตรเขยของจอมพลประภาส ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกมองว่าจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากจอมพลถนอม และจอมพลประภาส ต่อมาในเวลาหัวค่ำ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประกาศว่า จอมพลถนอม ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระราชดำรัสแถลงออกโทรทัศน์ด้วยพระองค์เอง แต่ทว่าเหตุการณ์ยังไม่สงบโดยกลุ่มทหารได้เปิดฉากยิงเข้าใส่นักศึกษาและ ประชาชนอีกครั้งหลังจากพระราชดำรัสทางโทรทัศน์เพียงหนึ่งชั่วโมงเมื่อนัก ศึกษาพยายามพุ่งรถบัสที่ไม่มีคนขับเข้าใส่สถานีตำรวจ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเนื่องจากผู้ชุมนุมนับพันยังไม่วางใจในสถานการณ์ ได้มีการประกาศท้าทายกฎอัยการศึกในเวลา 22.00 น. และ ประกาศว่าจะอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทั้งคืนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ถูก หลอกอีกครั้ง จนกระทั่งในเวลาหัวค่ำของวันที่ 15 ตุลาคม ได้มีประกาศว่า จอมพลถนอม จอมพลประภาส และ พ.อ.ณรงค์ ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้ว เหตุการณ์จึงค่อยสงบลง และวันที่ 16 ตุลาคม ผู้ชุมนุมและประชาชนต่างพากันช่วยทำความสะอาดพื้นถนนและสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จเยี่ยมผู้ได้รับบาด เจ็บตามโรงพยาบาลต่าง ๆ และสำหรับผู้เสียชีวิตทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตที่ทิศเหนือท้องสนามหลวงด้วย และอัฐินำไปลอยอังคารด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา อ่าวไทย คณะรัฐมนตรี มีมติให้ก่อสร้าง อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ขึ้นที่ สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง โดยกว่าจะผ่านกระบวนต่าง ๆ และสร้างจนแล้วเสร็จนั้น ต้องใช้เวลาถึง 28 ปี หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประชาชนต่าง ๆ จากหลายภาคส่วน โดยไม่มีนักการเมืองร่วมอยู่ด้วยเลย และใช้สนามม้านางเลิ้งเป็นสถานที่ร่าง โดยเรียกกันว่า "สภาสนามม้า" จนนำไปสู่การเลือกตั้งในต้นปี พ.ศ. 2518 ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้น มีคำเรียกว่าเป็นยุค "ฟ้าสีทองผ่องอำไพ" แต่ทว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประเทศยังไม่สงบ มีการเรียกร้องและเดินขบวนของกลุ่มชนชั้นต่าง ๆ ในสังคม ประกอบกับสถานการณ์ความมั่นคงในประเทศรอบด้านจากการรุกคืบของลัทธิ คอมมิวนิสต์และผลกระทบจากสงครามเวียดนาม แม้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งก็ไม่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะแก้ไข สถานการณ์ได้ จนนำไปสู่เหตุนองเลือดอีกครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อปี พ.ศ. 2519 คือ เหตุการณ์ 6 ตุลา นอกจากนี้แล้วเหตุการณ์ 14 ตุลา นับเป็นการลุกฮือของประชาชนครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จในยุคศตวรรษที่ 20 และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาคประชาชนในประเทศอื่น ๆ ทำตามในเวลาต่อมา เช่น ที่ เกาหลีใต้ในเหตุการณ์จลาจลที่เมืองกวางจู เป็นต้น พ.ศ. 2546 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์กำหนดให้วันที่ 14 ตุลาคมของทุกปีเป็น "วันประชาธิปไตย" เป็นวันสำคัญของชาติ ในโอกาสครบรอบเหตุการณ์ 30 ปี

6 อันดับกับคดี ฆาตกรรมในห้องปิดตาย

 #อันดับ 6 ผีย้ายโลง (ไม่ใช่คดีฆาตกรรม)
อัลเฟร็ด รัสเซล วอลเลซ(Alfred Russel Wallace) บรรยายถึงเหตุการที่เกิดขึ้นที่บัลทิคในปี 1844 ว่าเกิดความไม่สงบและประหลาดในสุสานอาเรนสบวร์กที่เกาะเบาร์บาดอสฝั่งตะวัน ออกของทะเลแคริบเบียน ของตระกูลเซล จู่ๆ โลงศพถูกย้ายล้มคว่ำในห้องใต้ดินที่ถูกล็อกปิดตายในโบสถ์คริสต์ เรื่องแปลกก็คือ ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมาเพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บต้องพบว่าศพ ถูกสลับที่สลับทาง และล้มพลิกคว่ำอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่และศพนั้นหนักอึ้งขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายไปได้ นอกจากนี้ห้องยังล็อกแน่นหนา บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน และเหล่าม้าและสัตว์เลี้ยงต่างหวาดกลัวที่จะเข้าไปใกล้สถานที่เก็บศพนั้น
มีหลายทฤษฎีเหมือนกันถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง) บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไขไม่ออกในปัจจุบัน


#อันดับ 5 คดี โรส แดรกคูล






คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีศตวรรษที่ 19 ที่ฝรั่งเศส คดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงและยังเป็นคดีปริศนาที่แก้ไขไม่ได้จนถึง ปัจจุบันนี้ สถานที่เกิดคดีเป็นชั้นบนสุดของอพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ มองมาร์ตัลในกรุงปารีส หญิงสาวชื่อโรส แดรกคูลพักอยู่ในห้องที่สูง20เมตร นอนไม่ตื่นจนถึงเที่ยง ผู้ดูแบมาเคาะประตูดูก็ไม่มีเสียงตอบ ตำรวจจึงพังประตูเข้าไปในห้อง โรสยังนอนอยู่บนเตียงถูกแทงที่หน้าอกตาย อาวุธคือ มีดที่แทงนั้น ยังปักคาทะลุไปข้างหลังราวกับว่าถูกแทงจนสุดกำลัง
หน้าต่างห้องล็อคจากด้านในและลงกลอนอยู่ ประตูลงกลอนและล้อคกุญแจ ตำรวจตรวจเช็คทั้งห้องโดยละเอียดแล้วไม่มีห้องลับทั้งที่พื้นและเพดาน!
มีทางเดียงที่จะเข้าออกได้คือทางท่อระบายอากาศ แต่ท่อนั้นก็แคบเกินกว่าที่คนจะเข้าออกได้ เป็นคดีที่แปลกมาก คนที่จะเข้า-ออกได้คงกลายเป็นควันเข้ามา!หรือไม่ก็เป็นตัวหนอนหดตัวออกไป ไม่มีของถูกขโมยนอกจากนี้หลังจากตรวจสอบแล้วไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนไหนเกลียด ชังผู้ตายเลย โจจี้ซิมส์นำคดีนี้ไปเขียนลงในนิตยสาร Stange และกลายเป็นข่าวลือของคนไปทั่วและคดีนี้ก็เป็นต้นแบบที่มีอิทธิพลต่อนัก เขียนนิยายปริศนาในเวลาต่อมา



#อันดับ 4 ร่องรอยรูใหม่(The Clue of the New Pin)

  ในสมัยปี ค.ศ.1880 เกิดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายขึ้น เมื่อมีการพบศพ ภรรยาของแฮร์ คอนราด(Herr Konrad) พ่อค้าในเมืองเบอร์ลิน และลูกของเขาถูกฆ่าในห้องเก็บของใต้ถุนบ้าน ในห้องปิดตายที่มีประตูห้องที่ทั้งหนักทั้งแข็งแกร่งและไม่มีรูกุญแจ ไม่มีช่องว่างใดๆ ให้รอดผ่านเลย หรือแม้กระทั้งกระดาษก็ไม่สามรถลอดผ่านได้ และในที่เกิดเหตุนั้นมีการใส่กลอนล็อกจากด้านในอย่างแน่นหนา แน่นอนเมื่อมีการสังหารสมาชิกในครอบครัวเกิดขึ้นคนสงสัยก็คือแฮร์ คอนราดนั้นแหละ แต่เขาทำอย่างไรที่สามารถฆ่าภรรยาและลูกๆ ของเขาได้ไงทั้งๆ ที่ห้องที่ล็อกจากด้านใน
                จาก การตรวจสอบห้องปิดตายพบว่า ที่ประตูมีรูที่เล็กมากๆ ปรากฏเหนือสลักเกลียวบนประตู(เล็กขนาดต้องใช้เลนส์ประสิทธิภาพสูงส่อง)รู นั้นแสดงให้เห็นว่ามันถูกเจาะขึ้นมาใหม่โดยใช้ความร้อนในการเจาะ ซึ่งคนเจาะก็คือฆาตกรแน่นอน แล้วมันเจาะเพื่ออะไรละ ก็เจาะเพื่อสามาถสอดขนม้าหรือเยื่อบางๆ ผ่านเข้าไปและเพื่อใช้ทริคลงสลักกลอนให้ล็อกภายในทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ข้างนอกได้ไงละ คอนราดถูกดำเนินคดีต่อมา เขาบอกว่าเขาเอาทริคคดีนี้จากนวนิยายลึกลับเรื่องหนึ่ง(จะว่าไปฆาตกรรมก็สุด ยอดแล้วนะเนี่ย แต่คนไขคดีสุดยอดกว่า)



#อันดับ 3 คดีลอบปลงพระชนม์ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย (Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)


(ปล.ผมไม่เก่งราชาศัพท์ครับ คำธรรมดาไหนควรเป็นราชาศัพท์ก็ขออภัยด้วยนะครับ)
วันที่ 10 กันยายน 1898 ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย (Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)กำลังทรงประทับอยู่ ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้น พระองค์กำลังทรงพักผ่อนแปรพระราชฐาน พร้อมด้วยนางกำลังคนสนิทบริเวณทะเลสาป จู่ๆ ไม่มีสิ่งใดเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น เค้านท์เตสสตาร์เรย์ ได้ทรงถูก ฆาตกรรมโดยนักอนาธิปไตยนิยมชื่อ ลุยกิ ลูเชนี(Luigi Lucheni) แต่แทนที่จะกลายเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา กลับกลายเป็นคดีฆาตกรรมห้องปิดตายอย่างไม่น่าเชื่อ ฆาตกรทำทริคแบบนี้ได้ยังไง?
คำตอบคือฆาตกรไม่ได้ทำทริคสักอย่าง ฆาตกรเพียงใช้มีดแทงกลางพระหทัย(หัวใจ)เค้านท์เตสสตาร์เรย์เท่านั้น แต่แผลนั้นไม่ได้ทำให้พระองค์เสียชีวิตทันที ส่วนองค์จักรพรรดินีมีผู้ช่วยประคองไว้มิให้ล้ม ตอนแรกคิดว่าพระองค์แค่ถูกล้วงกระเป๋าเท่านั้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินต่อ ลงไปประทับเรือไม่นานก็ทรงเป็นลมแน่นิ่งหมดสติ และเมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่งก็พบว่าพระองค์ถูกแทงทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใกล้พระองค์ตอนประทับบนเรือ หมอมิอาจช่วยอะไรได้ พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโลหิตตกใน จนกลายเป็นห้องปิดตายสมบูรณ์แบบในที่สุด ซึ่งต้องกว่าจะไขคดีนี้ได้ก็นานพอดู และส่งผลให้ลูเชนีถูกนำตัวขึ้นศาล เขากล่าวว่าจะปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์ราชวงศ์ออลีญงส์ของฝรั่งเศสเท่า นั้น โดยเขาคิดว่าพระองค์คือพระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้น เขาพูดว่า "I wanted to kill a royal. It did not matter which one." (ฉันอยากฆ่าราชวงศ์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม)
และคดีนี้ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจแก่ Gaston Leroux's แต่งนิยายเรื่องความลี้ลับของห้องสีเหลื่อง(The Mystery of the Yellow Room)

#อันดับ 2 คดีความลึกลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้(insoluble mystery)

คดีนี้อยู่ในรายงาน The New York Times เมื่อวันที่ 10 และ 11 มีนาคม 1929
วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 9 มีนาคม 1929 นางล็อกแลนด์ สมิธได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนและเสียงหวด(ไม่มีเสียงปืน)จากร้านซัก แห้งบ้านเลขที่ 5 ของมหานครนิวยอร์ก( Fink,of 4 ทิศตะวันออก ถนน 132nd) เธอได้แจ้งตำรวจให้ไปค้นหาต้นตอของเสียงกรีดร้องนั้น แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงสถานที่อันเป็นที่มาของเสียงนั้น ปรากฏว่า ประตูร้านนั้นปิดตายอย่างแน่นหนาจากด้านใน ยกเว้นหน้าต่างบานเล็กบานหนึ่งที่อยู่เหนือประตูบานใหญ่นั้น(ที่มีไว้ให้หมา แมวหรือจดหมายลอดนั้นแหละ) ซึ่งขนาดของประตูพอที่จะให้เด็กเล็กๆ ลอดตัวเข้าไปได้เท่านั้น ดังนั้นตำรวจจึงส่งเด็กเล็กๆ เข้าไปเปิดประตู และเมื่อสำรวจภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ก็พบนายไอสิดอร์ ฟิงก์(Isidore Fink)นอนตายอยู่บนพื้นห้อง ในสภาพที่ถูกยิงบริเวณหน้าอก 2 นัด และอีกหนึ่งนัดทะลุฝ่ามือซ้ายของเขา และมีกระเป๋าเงินพร้อมเงินสดจำนวนมากยังอยู่ในกระเป๋า
ที่น่าประหลาดใจคือฟิงก์ถูกฆ่าโดยฝีมือใคร และฆาตกรหลบหนีออกไปจากสถานที่ทางด้านไหน เพราะเท่าที่ตรวจสอบจนทั่วบริเวณแล้วก็ไม่พบว่ามีทางออกทางไหนอีก ยกเว้นแต่ละจุดที่เด็กเล็กๆ ลอดเข้าไปเพื่อเปิดประตู เพราะประตูล็อกจากด้านใน และเมื่อตรวจสอบวิถีกระสุนปืนก็พบว่า ฆาตกรจ่อยิงนายฟิงก์ในระยะเผาขน จึงเป็นไปไม่ได้ว่าฆาตกรจะยิงนายฟิงก์จากด้านนอกร้าน ซึ่งท้ายสุดคดีนี้ตำรวจก็ไม่สามารถไขได้ จนขนานนามคดีนี้ว่า " insoluble mystery" และมันก็ถูกนำมาแต่งนิยายในชื่อ "The Mystery of the Fabulous Laundry man."


#อันดับ 1 คดีฆาตกรรมบนรถไฟ(Murder in the Metro)



16 พฤษภาคม 1937 มีคนไปพบ เลติเชีย ตูโรซ์(Laetitia Toureaux) หญิงสาวผู้รักการเต้นรำอายุ 29 ปี ถูกแทงตายด้วยกริซยาวกว่า 9 นิ้วที่คอและนอนตายในห้องว่างเปล่าของตู้ขบวนโบกี้แรก 1 st ของรถไฟใต้ดิน ซึ่งรถไฟขบวนนี้ถูกปล่อยออกจากสถานีปลายทาง Porte de Charenton ในเมืองปารีส เมื่อเวลา 6:27 p.m. และรถไฟขบวนนี้กำลังจะไปลงต่อที่ สถานี Porte Dore ในเวลา 6:28 p.m. เพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นพยานสองคนคือเจ้าหน้าที่สถานีสาบานว่าเขาไม่เห็นใครใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากผู้ตายคนเดียวที่ขึ้นโบกี้แรก และพยานอีกสองที่อยู่ใกล้ทางเข้า-ออกประตูทางเชื่อมโบกี้นี้ก็สาบานว่าไม่มี ใครพยายามเข้า-ออกประตูที่เชื่อมโบกี้แรกนี้เลยสักคน จนกระทั้งมีคนพบศพตูโรซ์หลังจากนั้น ซึ่งจากรูปคดีนี่เป็นการฆาตกรรมไม่ใช้การฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ปัญหาคือฆาตกรสามารถฆ่าเธอได้ไงทั้งๆ ที่มีเวลาลงมือเพียงหนึ่งนาทีกับอีกยี่สิบวินาทีเท่านั้น(บางที่ก็บอกไม่ถึง นาที)ในการสังหาร และสุดท้ายฆาตกรสามารถเข้า-ออกจากโบกี้ที่ผู้ตายอยู่ได้ไงโดยไม่เห็นพยาน ทั้งหลายเห็น(ถ้าฆาตกรเป็นพนักงานรถไฟจะต้องมีเลือดกระเด็นติดตัวพวกเขาสิ แต่นี้ไม่มี) ผลสุดท้ายบทสรุปกว่า 800 หน้าของคดีนี้กลายเป็นไร้ประโยชน์ พยานกว่า 800 รายก็ว่างเปล่า และผู้ต้องสงสัยกว่า 71ราย ก็ไม่มีใครน่าสงสัย และจนบัดนี้คดีปริศนาที่ไม่มีใครไขคดีนี้สักคน และกลายเป็นสุดยอดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายของโลก(ในความคิดของผม) เพราะคดีสามารถสร้างปาฏิหาร์ยภายใน 1 นาทีได้ยิ่งกว่าต้มมาม่าเสียอีก



ที่มา : ลัทธิรักการอ่าน พุญเพ็ง หีบเหล็ก

บีเวอร์ นักสร้างเขื่อนตัวน้อย


บีเวอร์ (Beaver) จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่อยู่ในกลุ่มสัตว์ฟันแทะเช่นเดียวกับกระรอกยักษ์
พวกมันมีอยู่ด้วยกันสองสายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ยูเรเชียน (Eurasian beaver) ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor fiber กับ พันธุ์อเมริกาเหนือ (North American beaver) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ก็คือ Castor Canadensis (Rodentia) ทั้งสองชนิดจัดอยู่ในวงศ์ Castoridae ถึงแม้จะมีขนาดและรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองสายพันธุ์ แยกขาดจากกันตั้งแต่เมื่อ 24,000 ปีที่แล้ว พวกมันจึงไม่สามารถผสมพันธุ์กันเองได้อีก บีเวอร์มีขนาดตัวใหญ่กว่าที่คุณคิด
สายพันธุ์ยูเรเชียน
พันธุ์อเมริกาเหนือ
โดยตัวบีเวอร์ตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดใหญ่พอๆ กับเด็กอายุ 8 ขวบ ขณะที่ตัวบีเวอร์ยักษ์ (Giant beaver)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor ohioensis ซึ่งได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน
มีขนาดเท่ากับยอดนักชกอย่างไมค์ ไทสันเลยทีเดียว หลายคนอาจจะเคยเห็นหรือรู้จักบีเวอร์จากในภาพยนตร์การ์ตูนหรืออนิเมชั่น หรือสารคดีหลายเรื่อง เช่น Angry Beaver และ Ice Age เป็นต้น
บีเวอร์ เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเฉพาะเขตซีกโลกเหนือ ในเขตที่มีภูมิอากาศอบอุ่น
และยังไม่เคยพบเห็นตามเขตเส้นศูนย์สูตรปัจจุบัน สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะและพฤติกรรมที่โดดเด่น
ทำให้คนทั่วไปสามารถจดจำพวกมันได้อย่างแม่นยำตั้งแต่แรกเห็น ด้วยลักษณะที่ว่าพวกมันมีฟันหน้า
หรือฟันแทะ (incisor) ที่มีขนาดใหญ่เพื่อใช้ไว้แทะเปลือกไม้ตามต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อใช้ในจุดประสงค์บางอย่างบีเวอร์เป็นผู้มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพแวดล้อมของถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน
มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใด (ยกเว้นมนุษย์) พวกมันทำการก่อสร้างตามสัญชาตญาณและเอาลูกๆ ใส่ไว้ในคอกที่สร้างขึ้นพวกมันสามารถโค่นต้นไม้ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้วได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง การสร้างเขื่อนของบีเวอร์ มีผลต่อระบบนิเวศอย่างมาก  เพราะแหล่งน้ำที่ได้จากเขื่อน จะดึงดูดสัตว์จำพวกปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลานให้เข้ามาอาศัยและหากินใกล้บริเวณเขื่อน





 นอกจากนี้ การสร้างเขื่อนยังมีประโยชน์ในการป้องกันพวกมันจากนักล่า เนื่องจากบีเวอร์นั้น
จัดเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่ในน้ำ (semi-aquatic animal) ดังนั้นบีเวอร์จึงต้องการแหล่งน้ำจากเขื่อน และหางของพวกมันก็มีลักษณะแบนเป็นเสมือนพายของเรือ ซึ่งช่วยให้พวกมันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้นเมื่ออาศัยอยู่ในน้ำ



 ซึ่งเขื่อนจากฝีมือตัวบีเวอร์ที่ ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น ได้มีการบันทึกว่ามีความยาวถึง 853 เมตร
ถูกค้นพบที่อุทยาน Wood Buffalo National Park บริเวณทางเหนือของ Alberta ประเทศแคนนาดา
โดยเขื่อนบีเวอร์ ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ เกิดขึ้นจาก บีเวอร์สองครอบครัว ที่สร้างเขื่อน จากกิ่งไม้ เลน โคลน และมูลของตัวบีเวอร์ ขวางทางน้ำเพื่อปรับสภาพแวดล้อมโดยรอบให้เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อปกป้องรัง และเป็นแหล่งอาหารของพวกมัน

เขื่อนนี้นับว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ที่สร้างโดยบีเวอร์
บีเวอร์สามารถดำน้ำได้นานถึง 15 นาที พวกมันมีตีนคู่หลังที่มีลักษณะคล้ายพังผืด
หางแบนที่นำทางเหมือนหางเสือ เปลือกตาโปร่งแสงที่ทำหน้าที่เหมือนแว่นตาว่ายน้ำ
ริมฝีปากซึ่งมีขนขึ้นเป็นแนวที่สามารถกั้นน้ำได้ รวมถึงหูที่สามารถปิดและโพรงจมูกที่สามารถเปิด
ซึ่งช่วยให้พวกมันแทะใต้น้ำได้ ฟันหน้าสี่ซี่ของบีเวอร์มีสีส้มสุกสว่าง  ฟันของพวกมันมีสารเคลือบฟัน
หรือเรียกว่า อีนาเมล (enamel) ซึ่งอีนาเมลนี้ประกอบไปด้วยสารอนินทรีย์ คือ Hydroxyapatite (Ca5(PO4)3(OH)) ได้แก่ แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ซึ่งคงทนต่อการผุพังอย่างมาก
แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่า “ไม่เคยอยู่เฉย” แต่พวกมันก็ค่อนข้างขี้เกียจ ในช่วงฤดูหนาว บีเวอร์จะออกจากโพรงโดยเฉลี่ยหนึ่งครั้งในทุกสองสัปดาห์ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง หางขนของบีเวอร์จะมีขนาดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะบีเวอร์เก็บกักไขมันเอาไว้มี่หางของมัน ด้วยเหตุนี้ หางของมันจึงมีขนาดเล็กลงเมื่อมีการเผาผลาญไขมันตลอดฤดูหนาว


Cr ; http://pantip.com/topic/31098309

เรือสำราญที่หรูและใหญ่ที่สุดในโลก

เรือสำราญที่หรูและใหญ่ที่สุดในโลกนั่นก็คือ เรือเอ็มเอส โอเอซิสออฟเดอะซีส์ ( MS Oasis of the Seas) โดยที่เรือลำนี้นั้นเป็นของบริษัทรอยัลแคริบเบียนอินเตอร์ เนชั่นแนล ระวางขับน้ำของเรือลำนี้มี 225,282 ตัน ความกว้างของเรือ 65 เมตร ความสูงของเรือ 75 เมตร และความยาวของเรือนั้น 370 เมตร กินน้ำลึก 23 เมตร ตัวเรือนั้นถูกแบ่งออกเป็น 16 ชั้น เรือลำนี้สามารถบรรจุผู้โดยสารสูงสุด 9,550 คน ส่วนเรื่องความเร็วนั้นมีความเร็วถึง 22.6 นอต ส่วนในตัวเรือนั้นมีห้องพัก 2700 ห้อง สระว่ายน้ำทั้ง Indoor Outdoor กว่า 14 สระ อ่างน้ำวน กิจกรรมปีนเขาจำลอง สวนสนุก พลาซ่าช็อปปิ้งมอลล์ โรงภาพยนตร์ โรงละคร ภัตาคาร คาเฟ่ คาซิโน บาร์ ไนท์คลับ สปา ฟิตเนส เซ็นทรัล ปาร์ค สวนหย่อมขนาดประมาณ 1 สนามฟุตบอล ลานจอดเฮริคอปเตอร์ ฯลฯ เรือลำนี้มูลค่ากว่า 4.7 หมื่นล้านบาทเรือสำราญ 
และเรือลำขนาดนี้จะต้องใช้ระยะทางแค่ไหนในการหยุดเรือเอ็มเอส โอเอซิสออฟเดอะซีส์ หากจำเป็นที่จะต้องหยุดเรือนี่ต้องใช้เวลานานแค่ไหน คงไม่รวดเร็วเหมือนการเบรครถยนต์เป็นแน่ คำตอบก็คือ เรือสำราญใช้เวลาหยุดเรือ 60 กว่ากิโลเมตร ซึ่งต้องมีกัปตันเรือคอยเป็นผู้กำกับไม่ให้ผิดพลาด ไม่งั้นจะต้องย้อนเรือกลับ แต่ถ้าเป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ยักษ์ อย่างเช่น "MS Oasis of the Seas" ต้องใช้ระยะทาง 65,490 เมตรในการเบรกเรือให้หยุดอยู่กับที่ได้