#อันดับ 6 ผีย้ายโลง (ไม่ใช่คดีฆาตกรรม)
อัลเฟร็ด รัสเซล วอลเลซ(Alfred Russel Wallace)
บรรยายถึงเหตุการที่เกิดขึ้นที่บัลทิคในปี 1844
ว่าเกิดความไม่สงบและประหลาดในสุสานอาเรนสบวร์กที่เกาะเบาร์บาดอสฝั่งตะวัน
ออกของทะเลแคริบเบียน ของตระกูลเซล จู่ๆ
โลงศพถูกย้ายล้มคว่ำในห้องใต้ดินที่ถูกล็อกปิดตายในโบสถ์คริสต์
เรื่องแปลกก็คือ
ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมาเพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บต้องพบว่าศพ
ถูกสลับที่สลับทาง และล้มพลิกคว่ำอย่างง่ายดายทั้งๆ
ที่และศพนั้นหนักอึ้งขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายไปได้
นอกจากนี้ห้องยังล็อกแน่นหนา
บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน
และเหล่าม้าและสัตว์เลี้ยงต่างหวาดกลัวที่จะเข้าไปใกล้สถานที่เก็บศพนั้น
มีหลายทฤษฎีเหมือนกันถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง) บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไขไม่ออกในปัจจุบัน
#อันดับ 5 คดี โรส แดรกคูล
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีศตวรรษที่ 19 ที่ฝรั่งเศส คดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงและยังเป็นคดีปริศนาที่แก้ไขไม่ได้จนถึง ปัจจุบันนี้ สถานที่เกิดคดีเป็นชั้นบนสุดของอพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ มองมาร์ตัลในกรุงปารีส หญิงสาวชื่อโรส แดรกคูลพักอยู่ในห้องที่สูง20เมตร นอนไม่ตื่นจนถึงเที่ยง ผู้ดูแบมาเคาะประตูดูก็ไม่มีเสียงตอบ ตำรวจจึงพังประตูเข้าไปในห้อง โรสยังนอนอยู่บนเตียงถูกแทงที่หน้าอกตาย อาวุธคือ มีดที่แทงนั้น ยังปักคาทะลุไปข้างหลังราวกับว่าถูกแทงจนสุดกำลัง
หน้าต่างห้องล็อคจากด้านในและลงกลอนอยู่ ประตูลงกลอนและล้อคกุญแจ ตำรวจตรวจเช็คทั้งห้องโดยละเอียดแล้วไม่มีห้องลับทั้งที่พื้นและเพดาน!
มีทางเดียงที่จะเข้าออกได้คือทางท่อระบายอากาศ แต่ท่อนั้นก็แคบเกินกว่าที่คนจะเข้าออกได้ เป็นคดีที่แปลกมาก คนที่จะเข้า-ออกได้คงกลายเป็นควันเข้ามา!หรือไม่ก็เป็นตัวหนอนหดตัวออกไป ไม่มีของถูกขโมยนอกจากนี้หลังจากตรวจสอบแล้วไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนไหนเกลียด ชังผู้ตายเลย โจจี้ซิมส์นำคดีนี้ไปเขียนลงในนิตยสาร Stange และกลายเป็นข่าวลือของคนไปทั่วและคดีนี้ก็เป็นต้นแบบที่มีอิทธิพลต่อนัก เขียนนิยายปริศนาในเวลาต่อมา
#อันดับ 4 ร่องรอยรูใหม่(The Clue of the New Pin)
ในสมัยปี ค.ศ.1880 เกิดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายขึ้น เมื่อมีการพบศพ ภรรยาของแฮร์ คอนราด(Herr Konrad) พ่อค้าในเมืองเบอร์ลิน และลูกของเขาถูกฆ่าในห้องเก็บของใต้ถุนบ้าน ในห้องปิดตายที่มีประตูห้องที่ทั้งหนักทั้งแข็งแกร่งและไม่มีรูกุญแจ ไม่มีช่องว่างใดๆ ให้รอดผ่านเลย หรือแม้กระทั้งกระดาษก็ไม่สามรถลอดผ่านได้ และในที่เกิดเหตุนั้นมีการใส่กลอนล็อกจากด้านในอย่างแน่นหนา แน่นอนเมื่อมีการสังหารสมาชิกในครอบครัวเกิดขึ้นคนสงสัยก็คือแฮร์ คอนราดนั้นแหละ แต่เขาทำอย่างไรที่สามารถฆ่าภรรยาและลูกๆ ของเขาได้ไงทั้งๆ ที่ห้องที่ล็อกจากด้านใน
จาก
การตรวจสอบห้องปิดตายพบว่า ที่ประตูมีรูที่เล็กมากๆ
ปรากฏเหนือสลักเกลียวบนประตู(เล็กขนาดต้องใช้เลนส์ประสิทธิภาพสูงส่อง)รู
นั้นแสดงให้เห็นว่ามันถูกเจาะขึ้นมาใหม่โดยใช้ความร้อนในการเจาะ
ซึ่งคนเจาะก็คือฆาตกรแน่นอน แล้วมันเจาะเพื่ออะไรละ
ก็เจาะเพื่อสามาถสอดขนม้าหรือเยื่อบางๆ
ผ่านเข้าไปและเพื่อใช้ทริคลงสลักกลอนให้ล็อกภายในทั้งๆ
ที่ตัวเองอยู่ข้างนอกได้ไงละ คอนราดถูกดำเนินคดีต่อมา
เขาบอกว่าเขาเอาทริคคดีนี้จากนวนิยายลึกลับเรื่องหนึ่ง(จะว่าไปฆาตกรรมก็สุด
ยอดแล้วนะเนี่ย แต่คนไขคดีสุดยอดกว่า)
#อันดับ 3 คดีลอบปลงพระชนม์ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย (Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)
(ปล.ผมไม่เก่งราชาศัพท์ครับ คำธรรมดาไหนควรเป็นราชาศัพท์ก็ขออภัยด้วยนะครับ)
วันที่ 10 กันยายน 1898 ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย (Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)กำลังทรงประทับอยู่ ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้น พระองค์กำลังทรงพักผ่อนแปรพระราชฐาน พร้อมด้วยนางกำลังคนสนิทบริเวณทะเลสาป จู่ๆ ไม่มีสิ่งใดเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น เค้านท์เตสสตาร์เรย์ ได้ทรงถูก ฆาตกรรมโดยนักอนาธิปไตยนิยมชื่อ ลุยกิ ลูเชนี(Luigi Lucheni) แต่แทนที่จะกลายเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา กลับกลายเป็นคดีฆาตกรรมห้องปิดตายอย่างไม่น่าเชื่อ ฆาตกรทำทริคแบบนี้ได้ยังไง?
คำตอบคือฆาตกรไม่ได้ทำทริคสักอย่าง ฆาตกรเพียงใช้มีดแทงกลางพระหทัย(หัวใจ)เค้านท์เตสสตาร์เรย์เท่านั้น แต่แผลนั้นไม่ได้ทำให้พระองค์เสียชีวิตทันที ส่วนองค์จักรพรรดินีมีผู้ช่วยประคองไว้มิให้ล้ม ตอนแรกคิดว่าพระองค์แค่ถูกล้วงกระเป๋าเท่านั้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินต่อ ลงไปประทับเรือไม่นานก็ทรงเป็นลมแน่นิ่งหมดสติ และเมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่งก็พบว่าพระองค์ถูกแทงทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใกล้พระองค์ตอนประทับบนเรือ หมอมิอาจช่วยอะไรได้ พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโลหิตตกใน จนกลายเป็นห้องปิดตายสมบูรณ์แบบในที่สุด ซึ่งต้องกว่าจะไขคดีนี้ได้ก็นานพอดู และส่งผลให้ลูเชนีถูกนำตัวขึ้นศาล เขากล่าวว่าจะปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์ราชวงศ์ออลีญงส์ของฝรั่งเศสเท่า นั้น โดยเขาคิดว่าพระองค์คือพระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้น เขาพูดว่า "I wanted to kill a royal. It did not matter which one." (ฉันอยากฆ่าราชวงศ์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม)
และคดีนี้ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจแก่ Gaston Leroux's แต่งนิยายเรื่องความลี้ลับของห้องสีเหลื่อง(The Mystery of the Yellow Room)
#อันดับ 2 คดีความลึกลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้(insoluble mystery)
วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 9 มีนาคม 1929 นางล็อกแลนด์ สมิธได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนและเสียงหวด(ไม่มีเสียงปืน)จากร้านซัก แห้งบ้านเลขที่ 5 ของมหานครนิวยอร์ก( Fink,of 4 ทิศตะวันออก ถนน 132nd) เธอได้แจ้งตำรวจให้ไปค้นหาต้นตอของเสียงกรีดร้องนั้น แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงสถานที่อันเป็นที่มาของเสียงนั้น ปรากฏว่า ประตูร้านนั้นปิดตายอย่างแน่นหนาจากด้านใน ยกเว้นหน้าต่างบานเล็กบานหนึ่งที่อยู่เหนือประตูบานใหญ่นั้น(ที่มีไว้ให้หมา แมวหรือจดหมายลอดนั้นแหละ) ซึ่งขนาดของประตูพอที่จะให้เด็กเล็กๆ ลอดตัวเข้าไปได้เท่านั้น ดังนั้นตำรวจจึงส่งเด็กเล็กๆ เข้าไปเปิดประตู และเมื่อสำรวจภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ก็พบนายไอสิดอร์ ฟิงก์(Isidore Fink)นอนตายอยู่บนพื้นห้อง ในสภาพที่ถูกยิงบริเวณหน้าอก 2 นัด และอีกหนึ่งนัดทะลุฝ่ามือซ้ายของเขา และมีกระเป๋าเงินพร้อมเงินสดจำนวนมากยังอยู่ในกระเป๋า
ที่น่าประหลาดใจคือฟิงก์ถูกฆ่าโดยฝีมือใคร และฆาตกรหลบหนีออกไปจากสถานที่ทางด้านไหน เพราะเท่าที่ตรวจสอบจนทั่วบริเวณแล้วก็ไม่พบว่ามีทางออกทางไหนอีก ยกเว้นแต่ละจุดที่เด็กเล็กๆ ลอดเข้าไปเพื่อเปิดประตู เพราะประตูล็อกจากด้านใน และเมื่อตรวจสอบวิถีกระสุนปืนก็พบว่า ฆาตกรจ่อยิงนายฟิงก์ในระยะเผาขน จึงเป็นไปไม่ได้ว่าฆาตกรจะยิงนายฟิงก์จากด้านนอกร้าน ซึ่งท้ายสุดคดีนี้ตำรวจก็ไม่สามารถไขได้ จนขนานนามคดีนี้ว่า " insoluble mystery" และมันก็ถูกนำมาแต่งนิยายในชื่อ "The Mystery of the Fabulous Laundry man."
#อันดับ 1 คดีฆาตกรรมบนรถไฟ(Murder in the Metro)
16 พฤษภาคม 1937 มีคนไปพบ เลติเชีย ตูโรซ์(Laetitia Toureaux) หญิงสาวผู้รักการเต้นรำอายุ 29 ปี ถูกแทงตายด้วยกริซยาวกว่า 9 นิ้วที่คอและนอนตายในห้องว่างเปล่าของตู้ขบวนโบกี้แรก 1 st ของรถไฟใต้ดิน ซึ่งรถไฟขบวนนี้ถูกปล่อยออกจากสถานีปลายทาง Porte de Charenton ในเมืองปารีส เมื่อเวลา 6:27 p.m. และรถไฟขบวนนี้กำลังจะไปลงต่อที่ สถานี Porte Dore ในเวลา 6:28 p.m. เพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นพยานสองคนคือเจ้าหน้าที่สถานีสาบานว่าเขาไม่เห็นใครใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากผู้ตายคนเดียวที่ขึ้นโบกี้แรก และพยานอีกสองที่อยู่ใกล้ทางเข้า-ออกประตูทางเชื่อมโบกี้นี้ก็สาบานว่าไม่มี ใครพยายามเข้า-ออกประตูที่เชื่อมโบกี้แรกนี้เลยสักคน จนกระทั้งมีคนพบศพตูโรซ์หลังจากนั้น ซึ่งจากรูปคดีนี่เป็นการฆาตกรรมไม่ใช้การฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ปัญหาคือฆาตกรสามารถฆ่าเธอได้ไงทั้งๆ ที่มีเวลาลงมือเพียงหนึ่งนาทีกับอีกยี่สิบวินาทีเท่านั้น(บางที่ก็บอกไม่ถึง นาที)ในการสังหาร และสุดท้ายฆาตกรสามารถเข้า-ออกจากโบกี้ที่ผู้ตายอยู่ได้ไงโดยไม่เห็นพยาน ทั้งหลายเห็น(ถ้าฆาตกรเป็นพนักงานรถไฟจะต้องมีเลือดกระเด็นติดตัวพวกเขาสิ แต่นี้ไม่มี) ผลสุดท้ายบทสรุปกว่า 800 หน้าของคดีนี้กลายเป็นไร้ประโยชน์ พยานกว่า 800 รายก็ว่างเปล่า และผู้ต้องสงสัยกว่า 71ราย ก็ไม่มีใครน่าสงสัย และจนบัดนี้คดีปริศนาที่ไม่มีใครไขคดีนี้สักคน และกลายเป็นสุดยอดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายของโลก(ในความคิดของผม) เพราะคดีสามารถสร้างปาฏิหาร์ยภายใน 1 นาทีได้ยิ่งกว่าต้มมาม่าเสียอีก
ที่มา : ลัทธิรักการอ่าน พุญเพ็ง หีบเหล็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น