วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556
กว่าจะมาเป็น iPhone
Jobs พูดถึงการสร้าง iPhone ไว้ตั้งแต่ช่วงเปิดตัว iPod เมื่อปี 2001 คอนเซป iPhone คือพกเครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง ทั้งเช็คอีเมล, โทรศัพท์ หรือฟังเพลง แต่ต้องพบกับข้อจำกัดมากมาย เช่น การเล่นอินเทอร์เน็ตหรือดาวน์โหลดไฟล์เพลงนั้นช้า เพราะข้อจำกัดทางด้านชิพและสัญญาณอินเทอร์เน็ต ส่วนอีเมลก็เจอปัญหาเจ้าตลาดอย่าง RIM (BlackBerry) แอปเปิลเคยถึงขั้นคิดซื้อ Motorola ในปี 2003 แต่ก็ล้มเลิกเพราะเป็นดีลที่ใหญ่เกินไป
Jobs ไม่อยากเป็นคู่ค้ากับบริษัทเจ้าของเครือข่าย เพราะอำนาจต่อรองของพวกเขาสูงมาก และสามารถบังคับให้บริษัททำมือถือแบบที่ต้องการได้ แอปเปิลเคยเกือบจะเป็น MVNO (Mobile Virtual Network Operator ผู้ให้บริการเครือข่ายภายใต้ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่อีกที เช่น i-mobile 3GX เป็น MVNO ของ TOT) ของ Sprint แต่สุดท้ายได้เจรจากับ Cingular (ปัจจุบันคือ AT&T) สำเร็จในปี 2006 (อ่านเพิ่มเติม: Steve Jobs เคยถูก AT&T ติงว่าทำไม iPhone ไม่มีคีย์บอร์ด)
Tony Fadell หลักสำคัญอีกคนในโปรเจค iPhone เขาเคยเป็นหลักสำคัญในการสร้าง iPod ด้วย (Fadell ลาออกไปก่อตั้งบริษัท Nest ของตนเองในปี 2010) บอกว่า โปรเจคต่าง ๆ ของแอปเปิลมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ แต่โปรเจค iPhone นี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก
Jobs อยากให้ OS X ดัดแปลงรันบน iPhone ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องน่าปวดหัวมากสำหรับวิศวกร เพราะการรันระบบปฏิบัติการมโหฬารอย่าง OS X บนชิพขนาดจิ๋วอย่าง iPhone ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โค้ดนับล้านบรรทัดต้องเขียนใหม่ และวิศวกรต้องจำลองความเร็วของชิพและการใช้แบตเตอรี่เอง เพราะกว่าชิพที่ต้องการจะออกมาให้ใช้ได้จริงก็ในปี 2006
ในเวลานั้นมีมือถือบางรุ่น เช่น Palm Treo ประสบความสำเร็จในการใส่หน้าสัมผัสแบบตรวจสอบแรงกด แต่หน้าจอมัลติทัชยังไม่เคยมีใครใส่เข้ามาในสินค้าได้ เทคโนโลยีสัมผัสแบบแบบ capacitive เริ่มมีงานวิจัยในช่วงปี 1960 ส่วนเทคโนโลยีหน้าจอมัลติทัชแบบ capacitive ก็เพิ่งจะมีงานวิจัยในปี 1980 จึงเป็นความท้าทายครั้งใหญ่เมื่อแอปเปิลจะนำหน้าจอแบบนี้มาใส่ใน iPhone แถมต้องผลิตในปริมาณมาก ๆ เพราะทำตัวต้นแบบก็แพงแล้ว
ในปี 2003 วิศวกรแอปเปิลได้หาวิธีนำเทคโนโลยีมัลติทัชใส่ในแท็บเล็ตได้สำเร็จ Joshua Strickon วิศวกรแอปเปิลในโปรเจคนั้นบอกว่าเพราะ Jobs ต้องการอุปกรณ์อ่านอีเมลในห้องน้ำ และโปรเจคนี้ได้หยุดชะงักไปในปี 2004 เพราะตัวโปรเจคมีทิศทางไม่ชัดเจนและหาคนทำต่อไม่ได้
Tim Bucher ผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิลในตอนนั้นบอกว่า ปัญหาของต้นแบบอีกอย่างคือระบบปฏิบัติการ OS X ที่ออกแบบมาให้ใช้กับเมาส์ ไม่ใช่นิ้วมือ
Jobs เรียก Fadell เข้าไปหา เขาเล่นสินค้าต้นแบบหน้าจอประมาณ 10-12 นิ้วและวิจารณ์ต่าง ๆ นานา เช่น มันใหญ่ไป, จะทำโทรศัพท์จากไอ้นี่จริง ๆ หรือ? ตอนนั้น Fadell ยังไม่รู้เรื่องโปรเจคนี้ดีเพราะเขารับผิดชอบด้าน iPod ซึ่งโปรเจคนี้เป็นโปรเจคฝั่ง Mac แต่ Fadell ฉลาดพอที่จะไม่ปฏิเสธ Jobs (การปฏิเสธ Jobs โทษสูงสุดคือไล่ออก) โดย Fadell ทดลอง 2-3 ครั้งกว่าจะพบวิธีที่ลงตัวที่สุดในการทำหน้าจอสัมผัสและผลิตขึ้นมาได้สำเร็จ
แอปเปิลไม่มีความรู้ด้านสัญญาณโทรศัพท์เลย แต่ต้องสร้างห้องปฏิบัติการทดลองสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นมาเอง ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งคาดว่าโปรเจค iPhone นี้ใช้เงินไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์
ต้นแบบ iPhone ในปี 2005 เป็น iPod ที่มีปุ่มหมุนโทรศัพท์ เหมือนที่ Jobs เล่นมุกตลกโชว์ใน Keynote วันเปิดตัว iPhone และกว่าต้นแบบจะเป็นรูปเป็นร่างคล้ายของจริงที่เปิดตัวก็เป็นต้นแบบรุ่นถัด มา 2006
ปัญหาต่อมาคือทีมงานออกแบบ นำโดย Jonathan Ive อยากให้ด้านหลัง iPhone เป็นอลูมิเนียมทั้งชิ้น Jobs ก็เห็นด้วย แต่ต้องเจอปัญหาการรับสัญญาณ ทีมงานออกแบบก็เป็นศิลปินทั้งนั้น ชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ล่าสุดของเขาคือ grade 8 (เทียบเท่า ม.2) แต่พวกเขามีอิทธิพลในบริษัทมาก Grignon และ Rubén Caballero (วิศวกรเสาสัญญาณ) ต้องเชิญ Jobs และ Ive เข้าไปอธิบายในห้องประชุม เขาเจอคำถามจากทีมออกแบบ เช่น “ทำไมเราไม่เจาะช่องเล็ก ๆ เพื่อให้สัญญาณผ่านเข้าไปได้?” ก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้ว่าเพราะอะไร (ไม่งั้นนักออกแบบจะยืนกรานว่าต้องทำ) เป็นที่มาว่าทำไมด้านหลังของ iPhone รุ่นแรกจึงมีสองสี
ทีมงานระดับหัวกะทิของแอปเปิลที่ทุกคนมั่นใจว่าตัวเองเก่ง พอเจอโปรเจค iPhone ที่มีข้อจำกัดและอุปสรรคมากมาย หลายคนจึงเครียดและลาออกจากบริษัทไประหว่างทำโปรเจคหรือหลังจากโปรเจคเสร็จ สิ้นแล้ว
Jon Rubinstein ผู้บริหารระดับสูงด้านฮาร์ดแวร์ในเวลานั้นเสนอว่าควรทำ iPhone สองขนาด คือ iPhone ขนาดธรรมดากับ iPhone ราคาย่อมเยาว์ แต่ทรัพยากรมีจำกัด ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง iPhone ราคาย่อมเยาว์จึงถูกตัดทิ้ง
ลับสุดยอด
โปรเจค iPhone ใช้วิศวกรและนักออกแบบนับร้อยทำงาน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พนักงานจะเอาเรื่องโปรเจคลับไปพูดให้ใครฟังไม่ได้ ถ้ารู้ว่าใครไปพูดให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคู่สมรส คนพูดมีสิทธิ์ถูกไล่ออก พนักงานที่ผู้บริหารมองว่าจะดึงตัวมาทำโปรเจคต้องเซ็นสัญญาห้ามเปิดเผยความ ลับในออฟฟิศก่อนที่จะเริ่มพูดว่าเป็นโปรเจคเกี่ยวกับอะไร และหลังจากนั้นต้องเซ็นสัญญาว่าจะแพร่งพรายเรื่องนี้
Scott Forstall รองประธานฝ่าย iOS ที่เพิ่งถูกไล่ออกลาออกจากแอปเปิลในเดือนตุลาคมปี 2012 เล่าว่า Jobs ไม่ต้องการจ้างคนนอกบริษัทมาทำงานด้านส่วนติดต่อผู้ใช้ Forstall จึงหาหัวกะทิในบริษัทมาในห้องทำงานของเขาและบอกว่า “พวกคุณคือคนเก่งในหน้าที่ของคุณ ผมมีโปรเจคอื่นที่ต้องการตัวคุณ อยากให้คุณพิจารณา ผมบอกคุณไม่ได้ว่ามันคืออะไร บอกได้แค่ว่าคุณต้องสละเวลากลางคืนและวันเสาร์อาทิตย์ มันเป็นงานที่หนักกว่างานที่คุณเคยทำมาตลอดชีวิตแน่”
การจะติดต่อกับซื้อสินค้าจากบริษัทอื่น ต้องหลอกว่าเอามาทำ iPod รุ่นใหม่ ต้องเขียนแผนผังงานและออกแบบผลิตภัณฑ์ปลอม หรือแม้กระทั่งให้พนักงานปลอมตัวเป็นพนักงานบริษัทอื่นเพื่อไม่ให้รู้ว่าแอ ปเปิลทำอะไรอยู่
คนอื่นนอกจากคนวงในรวมทั้ง Jobs ไม่มีสิทธิ์เข้าห้องทำงานชั้น 1 ที่อาคาร 2 ของ Ive ได้เลย การรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก ถึงกับมีความเชื่อว่า หากใครที่ไม่ได้รับอนุญาตินำบัตรพนักงานมาแตะเครื่องแสกนบัตร ระบบจะเรียกยามมาลากตัวออกไป
โปรเจคนี้ห้ามพนักงานในฝ่ายคุยกันเอง วิศวกรออกแบบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก็ต้องทดสอบฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ปลอม ส่วนวิศวกรซอฟต์แวร์ก็ต้องทดสอบซอฟต์แวร์บนฮาร์ดแวร์เสมือน (simulator)
งานเปิดตัว
แอปเปิลจ่ายเงินเช่าหอประชุม Moscone ทั้งหมด สร้างเป็นแล็บทดสอบ iPhone และห้องพักของ Jobs หน้าประตูมียามเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เข้าออกสถานที่ทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบรายชื่อจาก Jobs ส่วนพนักงานรับเหมาที่แอปเปิลจ้างให้จัดงานนี้โดยเฉพาะต้องนอนค้างในคืนก่อน วันงานเพื่อป้องกันความลับรั่วไหล
Jobs ยืนกรานต้องสาธิตสดเท่านั้น จะไม่อัดเทปมาเปิดในงาน เขาซ้อมพรีเซ้นท์ก่อนวันงานติดต่อกัน 5 วัน ทีมวิศวกร iPhone ต้องนั่งดู Jobs ซ้อมด้วย หากผิดพลาด Jobs จะไม่โทษตัวเองแน่ ทีมงานจึงต้องรับมือกับการระเบิดอารมณ์ของเขาโดยจะเจอกับเสียงด่ามาพร้อมคำ พูดแรง ๆ เช่น “แกมัน…(คำหยาบ)…ของบริษัทฉัน” หรือ “ถ้าเราเจ๊งกันหมด มันเป็นความผิดของแก”
Jobs อยากให้การสาธิตบนเวทีฉายหน้าจอ iPhone บนโปรเจคเตอร์ด้วย สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก บริษัททั่วไปก็มักจะมีกล้องวิดีโอด้านหลังฉายขึ้นจอ แต่ Jobs ไม่ต้องการแบบนั้นเพราะมือเขาจะบัง วิศวกรจึงต้องสร้างบอร์ดพิเศษแปะไว้หลังเครื่องและต่อออกไปที่โปรเจคเตอร์
ซอฟต์แวร์เสารับสัญญาณ Wi-Fi ของ iPhone ยังไม่เสถียร iPhone ในงานจึงถูกต่อขยายเสาสัญญาณเพื่อให้สัญญาณนิ่ง และต้องเปลี่ยนความถี่ Wi-Fi ทั้งของ iPhone และตัวส่งเป็นความถี่พิเศษของญี่ปุ่นที่ไม่มีอุปกรณ์ใดในอเมริการับได้ เพราะหากใช้คลื่นความถี่มาตรฐาน แม้จะซ่อนเครือข่ายเฉพาะสำหรับ iPhone ไว้ได้ แต่คนที่นั่งอยู่ในหอประชุมนั้นเป็นเซียนคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น พวกเขาสามารถแฮกสัญญาณได้และต้องเกิดการผิดพลาดกลางงานแน่
Jobs จะโทรออกจริง ๆ ระหว่างสาธิตด้วย AT&T จึงต้องมาตั้งสถานีฐานเคลื่อนที่ (cell tower) ใกล้ ๆ งาน เพื่อให้สัญญาณแรงพอ วิศวกรต้องเขียนโปรแกรมให้หน้าจอแสดงสัญญาณโทรศัพท์เต็ม 5 ขีดตลอดเวลา เพราะโอกาสที่ซอฟต์แวร์เสาสัญญาณจะแครชและรีบู๊ตใหม่ในช่วง 90 นาทีของ Keynote นั้นมีสูงมาก
iPhone มีปัญหาเกี่ยวกับแรม ตัวเครื่องมีแรมแค่ 128MB ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ก็ยังมีขนาดใหญ่และไม่ลงตัว หากใช้ iPhone สักพัก แรมจะเต็มเครื่องจะรีสตาร์ท จึงต้องมีอุปกณ์ไว้สาธิตหลายเครื่อง เพราะหากเครื่องหนึ่งแรมเต็มและรีบู๊ต Jobs จะเปลี่ยนเครื่อง การพรีเซ้นท์จะมีลำดับการโชว์ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่วางแผนกันมาอย่างดีแล้วว่าจะไม่เจ๊งกลางงาน
ในงานเปิดตัว Grignon ซื้อเหล้าสก๊อตมา เหล่าวิศวกรทั้งหลายนั่งลุ้นตอน Jobs สาธิต iPhone หากถึงส่วนรับผิดชอบของใคร คนนั้นก็จะซดเหล้า 1 shot และสุดท้ายงานก็ผ่านไปด้วยดี เป็นการสาธิตที่ดีที่สุดที่เคยมีมา หลังจบงาน Keynote ทีมงาน iPhone ก็ได้เข้าเมืองไปดื่มฉลองจนเมาเลยทีเดียว
ที่มา : macthai
วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556
Oculus Rift VR Headset มันคือ Nerve Gear ในโลกแห่งความจริง!!
เกมส์บุคคลที่1 จริงแล้วผมว่าจุดมุ่งหมายจริงๆนั้นต้องการให้ผู้เล่นได้เสมือนเข้าไปอยู่ในเกมส์จริงๆ ปัจจุบันนั้นได้กำเนิดอุปกรณ์ที่ทำให้เราเสมือนเข้าไปอยู่ในเกมส์บุคคลที่1 ที่สุดแล้วนั่นก็คือ Oculus Rift VR Headset
อุปกรณ์ ชิ้นนี้เป็นจอภาพแบบสวมหัวที่แยกตาซ้ายและขวาออกจากกัน ภาพที่ได้จึงเป็น 3 มิติแบบเต็มๆ(เหมือนทีวี 3 มิติที่ใส่แว่นแบบกระพริบ แต่อันนี้แยกจอให้เลย)ปรกติการมองหน้าจอของเรา เราสามารถมองเห็นวิวต่างๆ ได้สูงสุดแค่ ประมาณ 40 องศา แต่ถ้าเราใช้ Oculus Rift มุมมองของผู้ใช้จะถูกเพิ่มขึ้นมากถึง 110 องศา เหมือนกับใช้ตาจริงๆ ในการมอง นอกจากนั้น Oculus Rift ยังตรวจจับการเคลื่อนไหวทำให้เราสามารถมองในหลากหลายมุมได้ โดยจะมีระบบช่วยในการมองที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองไปตามองศาที่ผู้ใช้หันไป นอกจากนั้นยังแสดงภาพในรูปแบบ 3D ด้วย
อุปกรณ์ ชิ้นนี้เป็นจอภาพแบบสวมหัวที่แยกตาซ้ายและขวาออกจากกัน ภาพที่ได้จึงเป็น 3 มิติแบบเต็มๆ(เหมือนทีวี 3 มิติที่ใส่แว่นแบบกระพริบ แต่อันนี้แยกจอให้เลย)ปรกติการมองหน้าจอของเรา เราสามารถมองเห็นวิวต่างๆ ได้สูงสุดแค่ ประมาณ 40 องศา แต่ถ้าเราใช้ Oculus Rift มุมมองของผู้ใช้จะถูกเพิ่มขึ้นมากถึง 110 องศา เหมือนกับใช้ตาจริงๆ ในการมอง นอกจากนั้น Oculus Rift ยังตรวจจับการเคลื่อนไหวทำให้เราสามารถมองในหลากหลายมุมได้ โดยจะมีระบบช่วยในการมองที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองไปตามองศาที่ผู้ใช้หันไป นอกจากนั้นยังแสดงภาพในรูปแบบ 3D ด้วย
Oculus Rift นั้นจะขยายจอให้กว้างกินไปถึงหางตาจนรู้สึกว่าเราได้อยู่ในเกมจริงๆนะ ไม่ใช่นั่งหน้าจอแถมยังติดระบบจับการเคลื่อนไหวของหัว ทำให้เวลาเรากวาดคอ แหงนมองบน ก้มมองล่าง มุมมองในเกมก็จะเปลี่ยนตาม(ด้วยเฟรมเรทตามความแรงของคอม) สิ่งที่ได้ก็คือ ความอิน ชนิดได้อารมณ์ร่วมแบบที่เกมไม่เคยทำได้มาก่อน อาจมีบ้างที่เวลาเล่นเกมน่ากลัวจะมีจังหวะที่ "ไม่กล้าเดินเข้าไปเลยว่ะ" แต่มันเทียบไม่ได้เลยเวลาใส่ไอ้เจ้านี่เล่น
แต่ทั้งนี้เจ้า Oculus Rift VR Headset
นั้นยังอยู่ระหว่างการพัฒนาและไม่มีเกมพัฒนาออกมารองรับ
สำหรับตอนนี้เราสามารถสั่งซื้อได้ แต่ทางทีมงานไม่แนะนำครับ
เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่ซื้อไปมักจะนำไปทำการพัฒนาเกมต่างๆ มากกว่า
โดยสามารถซื้อได้ในราคา 300 USD พร้อมกับการเข้าถึง กราฟิก Unreal, Unity
และเกม Doom 3 ที่ปรับแต่งมาสำหรับเจ้า Oculus Rift VR Headset
โดยเฉพาะเท่าที่ดูแล้วถ้าเจ้านี้สามารถใช้งานจริงได้เมื่อไรรับรองว่าวงการ
เกมอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอนครับ
จากการทดลองใช้
ได้ทดลองให้ผู้เล่นสวมแว่นที่มีฉากในเกมต้องเดินข้ามตึกสูงหลายสิบชั้นบนท่อน
เหล็กแคบๆ แล้วให้เดินบนพื้นเปล่าๆ ใช้ระบบจับการเคลื่อนไหวเต็มตัว
และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
จะเห็นได้ว่าผู้ที่ทดลองใช้นั้นบางคนไม่กล้ากระทั่งก้าวเท้า(ถอดแว่นยอมแพ้ไป) ทั้งที่รู้เต็มอกว่าตัวเองยืนอยู่ในห้อง!
การทดลองใช้ของผู้ใช้ชาวไทย
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ตุลาทมิฬ (14 ตุลา)
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516
วันมหาวิปโยค เป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนในประเทศไทย มากกว่า 5 แสนคน ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร โดยในเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 77 ราย บาดเจ็บ 857 ราย และสูญหายอีก จำนวนมาก ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 สาเหตุ เหตุการณ์เริ่มมาจากการที่จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหารตัวเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 โดยนักศึกษาและประชาชนมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจตนเองจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งในขณะนั้นจอมพลถนอมจะต้องเกษียณอายุราชการเนื่องจากอายุครบ 60 ปี แต่กลับต่ออายุราชการตนเองในตำแหน่้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกไป อีกทั้งพลเอกประภาส จารุเสถียร บุคคลสำคัญในรัฐบาล ก็มิได้รับการยอมรับเหมือนจอมพลถนอม ก็จะได้รับยศจอมพล และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ประกอบกับข่าวคราวเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการต่าง ๆ สร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนอย่างมาก การเดินขบวนครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ออกไปตามถนนราชดำเนิน สู่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาและมีประชาชนเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก (คาดการกันว่ามีราว 500,000 คน) แกนนำนักศึกษาได้เข้าพบเจรจากับรัฐบาลและบางส่วนได้เข้าเฝ้า ฯ จนได้ข้อยุติเพียงพอที่จะสลายตัว แต่ทว่าด้วยอุปสรรคทางการสื่อสารและมวลชนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากไม่อาจควบคุม ดูแลได้หมด ก็นำไปสู่การนองเลือดในเวลาประมาณ 05.55 น. ของวันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม เมื่อเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่บริเวณหน้าพระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน ด้านถนนราชวิถีตัดกับถนนพระราม 5 เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมจะสลายตัวกลับทางนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผ่าน จึงเกิดการปะทะกันจนกลายเป็นการจลาจล และลุกลามไปยังสนามหลวง, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และถนนราชดำเนิน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เวลาบ่าย พบเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินวนอยู่เหนือเหตุการณ์และมีการยิงปืนลงมาจาก เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเพื่อสลายการชุมนุม โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าบุคคลที่ยิงปืนลงมานั้นคือ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร บุตรชายของจอมพลถนอม และบุตรเขยของจอมพลประภาส ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกมองว่าจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากจอมพลถนอม และจอมพลประภาส ต่อมาในเวลาหัวค่ำ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประกาศว่า จอมพลถนอม ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระราชดำรัสแถลงออกโทรทัศน์ด้วยพระองค์เอง แต่ทว่าเหตุการณ์ยังไม่สงบโดยกลุ่มทหารได้เปิดฉากยิงเข้าใส่นักศึกษาและ ประชาชนอีกครั้งหลังจากพระราชดำรัสทางโทรทัศน์เพียงหนึ่งชั่วโมงเมื่อนัก ศึกษาพยายามพุ่งรถบัสที่ไม่มีคนขับเข้าใส่สถานีตำรวจ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเนื่องจากผู้ชุมนุมนับพันยังไม่วางใจในสถานการณ์ ได้มีการประกาศท้าทายกฎอัยการศึกในเวลา 22.00 น. และ ประกาศว่าจะอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทั้งคืนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ถูก หลอกอีกครั้ง จนกระทั่งในเวลาหัวค่ำของวันที่ 15 ตุลาคม ได้มีประกาศว่า จอมพลถนอม จอมพลประภาส และ พ.อ.ณรงค์ ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้ว เหตุการณ์จึงค่อยสงบลง และวันที่ 16 ตุลาคม ผู้ชุมนุมและประชาชนต่างพากันช่วยทำความสะอาดพื้นถนนและสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จเยี่ยมผู้ได้รับบาด เจ็บตามโรงพยาบาลต่าง ๆ และสำหรับผู้เสียชีวิตทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตที่ทิศเหนือท้องสนามหลวงด้วย และอัฐินำไปลอยอังคารด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา อ่าวไทย คณะรัฐมนตรี มีมติให้ก่อสร้าง อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ขึ้นที่ สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง โดยกว่าจะผ่านกระบวนต่าง ๆ และสร้างจนแล้วเสร็จนั้น ต้องใช้เวลาถึง 28 ปี หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประชาชนต่าง ๆ จากหลายภาคส่วน โดยไม่มีนักการเมืองร่วมอยู่ด้วยเลย และใช้สนามม้านางเลิ้งเป็นสถานที่ร่าง โดยเรียกกันว่า "สภาสนามม้า" จนนำไปสู่การเลือกตั้งในต้นปี พ.ศ. 2518 ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้น มีคำเรียกว่าเป็นยุค "ฟ้าสีทองผ่องอำไพ" แต่ทว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประเทศยังไม่สงบ มีการเรียกร้องและเดินขบวนของกลุ่มชนชั้นต่าง ๆ ในสังคม ประกอบกับสถานการณ์ความมั่นคงในประเทศรอบด้านจากการรุกคืบของลัทธิ คอมมิวนิสต์และผลกระทบจากสงครามเวียดนาม แม้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งก็ไม่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะแก้ไข สถานการณ์ได้ จนนำไปสู่เหตุนองเลือดอีกครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อปี พ.ศ. 2519 คือ เหตุการณ์ 6 ตุลา นอกจากนี้แล้วเหตุการณ์ 14 ตุลา นับเป็นการลุกฮือของประชาชนครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จในยุคศตวรรษที่ 20 และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาคประชาชนในประเทศอื่น ๆ ทำตามในเวลาต่อมา เช่น ที่ เกาหลีใต้ในเหตุการณ์จลาจลที่เมืองกวางจู เป็นต้น พ.ศ. 2546 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์กำหนดให้วันที่ 14 ตุลาคมของทุกปีเป็น "วันประชาธิปไตย" เป็นวันสำคัญของชาติ ในโอกาสครบรอบเหตุการณ์ 30 ปี
6 อันดับกับคดี ฆาตกรรมในห้องปิดตาย
#อันดับ 6 ผีย้ายโลง (ไม่ใช่คดีฆาตกรรม)
อัลเฟร็ด รัสเซล วอลเลซ(Alfred Russel Wallace)
บรรยายถึงเหตุการที่เกิดขึ้นที่บัลทิคในปี 1844
ว่าเกิดความไม่สงบและประหลาดในสุสานอาเรนสบวร์กที่เกาะเบาร์บาดอสฝั่งตะวัน
ออกของทะเลแคริบเบียน ของตระกูลเซล จู่ๆ
โลงศพถูกย้ายล้มคว่ำในห้องใต้ดินที่ถูกล็อกปิดตายในโบสถ์คริสต์
เรื่องแปลกก็คือ
ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมาเพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บต้องพบว่าศพ
ถูกสลับที่สลับทาง และล้มพลิกคว่ำอย่างง่ายดายทั้งๆ
ที่และศพนั้นหนักอึ้งขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายไปได้
นอกจากนี้ห้องยังล็อกแน่นหนา
บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน
และเหล่าม้าและสัตว์เลี้ยงต่างหวาดกลัวที่จะเข้าไปใกล้สถานที่เก็บศพนั้น
มีหลายทฤษฎีเหมือนกันถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง) บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไขไม่ออกในปัจจุบัน
#อันดับ 5 คดี โรส แดรกคูล
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีศตวรรษที่ 19 ที่ฝรั่งเศส คดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงและยังเป็นคดีปริศนาที่แก้ไขไม่ได้จนถึง ปัจจุบันนี้ สถานที่เกิดคดีเป็นชั้นบนสุดของอพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ มองมาร์ตัลในกรุงปารีส หญิงสาวชื่อโรส แดรกคูลพักอยู่ในห้องที่สูง20เมตร นอนไม่ตื่นจนถึงเที่ยง ผู้ดูแบมาเคาะประตูดูก็ไม่มีเสียงตอบ ตำรวจจึงพังประตูเข้าไปในห้อง โรสยังนอนอยู่บนเตียงถูกแทงที่หน้าอกตาย อาวุธคือ มีดที่แทงนั้น ยังปักคาทะลุไปข้างหลังราวกับว่าถูกแทงจนสุดกำลัง
หน้าต่างห้องล็อคจากด้านในและลงกลอนอยู่ ประตูลงกลอนและล้อคกุญแจ ตำรวจตรวจเช็คทั้งห้องโดยละเอียดแล้วไม่มีห้องลับทั้งที่พื้นและเพดาน!
มีทางเดียงที่จะเข้าออกได้คือทางท่อระบายอากาศ แต่ท่อนั้นก็แคบเกินกว่าที่คนจะเข้าออกได้ เป็นคดีที่แปลกมาก คนที่จะเข้า-ออกได้คงกลายเป็นควันเข้ามา!หรือไม่ก็เป็นตัวหนอนหดตัวออกไป ไม่มีของถูกขโมยนอกจากนี้หลังจากตรวจสอบแล้วไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนไหนเกลียด ชังผู้ตายเลย โจจี้ซิมส์นำคดีนี้ไปเขียนลงในนิตยสาร Stange และกลายเป็นข่าวลือของคนไปทั่วและคดีนี้ก็เป็นต้นแบบที่มีอิทธิพลต่อนัก เขียนนิยายปริศนาในเวลาต่อมา
#อันดับ 4 ร่องรอยรูใหม่(The Clue of the New Pin)
ในสมัยปี ค.ศ.1880 เกิดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายขึ้น เมื่อมีการพบศพ ภรรยาของแฮร์ คอนราด(Herr Konrad) พ่อค้าในเมืองเบอร์ลิน และลูกของเขาถูกฆ่าในห้องเก็บของใต้ถุนบ้าน ในห้องปิดตายที่มีประตูห้องที่ทั้งหนักทั้งแข็งแกร่งและไม่มีรูกุญแจ ไม่มีช่องว่างใดๆ ให้รอดผ่านเลย หรือแม้กระทั้งกระดาษก็ไม่สามรถลอดผ่านได้ และในที่เกิดเหตุนั้นมีการใส่กลอนล็อกจากด้านในอย่างแน่นหนา แน่นอนเมื่อมีการสังหารสมาชิกในครอบครัวเกิดขึ้นคนสงสัยก็คือแฮร์ คอนราดนั้นแหละ แต่เขาทำอย่างไรที่สามารถฆ่าภรรยาและลูกๆ ของเขาได้ไงทั้งๆ ที่ห้องที่ล็อกจากด้านใน
จาก
การตรวจสอบห้องปิดตายพบว่า ที่ประตูมีรูที่เล็กมากๆ
ปรากฏเหนือสลักเกลียวบนประตู(เล็กขนาดต้องใช้เลนส์ประสิทธิภาพสูงส่อง)รู
นั้นแสดงให้เห็นว่ามันถูกเจาะขึ้นมาใหม่โดยใช้ความร้อนในการเจาะ
ซึ่งคนเจาะก็คือฆาตกรแน่นอน แล้วมันเจาะเพื่ออะไรละ
ก็เจาะเพื่อสามาถสอดขนม้าหรือเยื่อบางๆ
ผ่านเข้าไปและเพื่อใช้ทริคลงสลักกลอนให้ล็อกภายในทั้งๆ
ที่ตัวเองอยู่ข้างนอกได้ไงละ คอนราดถูกดำเนินคดีต่อมา
เขาบอกว่าเขาเอาทริคคดีนี้จากนวนิยายลึกลับเรื่องหนึ่ง(จะว่าไปฆาตกรรมก็สุด
ยอดแล้วนะเนี่ย แต่คนไขคดีสุดยอดกว่า)
#อันดับ 3 คดีลอบปลงพระชนม์ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย (Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)
(ปล.ผมไม่เก่งราชาศัพท์ครับ คำธรรมดาไหนควรเป็นราชาศัพท์ก็ขออภัยด้วยนะครับ)
วันที่ 10 กันยายน 1898 ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย (Elisabeth, Empress of Austria-Hungary)กำลังทรงประทับอยู่ ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้น พระองค์กำลังทรงพักผ่อนแปรพระราชฐาน พร้อมด้วยนางกำลังคนสนิทบริเวณทะเลสาป จู่ๆ ไม่มีสิ่งใดเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น เค้านท์เตสสตาร์เรย์ ได้ทรงถูก ฆาตกรรมโดยนักอนาธิปไตยนิยมชื่อ ลุยกิ ลูเชนี(Luigi Lucheni) แต่แทนที่จะกลายเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา กลับกลายเป็นคดีฆาตกรรมห้องปิดตายอย่างไม่น่าเชื่อ ฆาตกรทำทริคแบบนี้ได้ยังไง?
คำตอบคือฆาตกรไม่ได้ทำทริคสักอย่าง ฆาตกรเพียงใช้มีดแทงกลางพระหทัย(หัวใจ)เค้านท์เตสสตาร์เรย์เท่านั้น แต่แผลนั้นไม่ได้ทำให้พระองค์เสียชีวิตทันที ส่วนองค์จักรพรรดินีมีผู้ช่วยประคองไว้มิให้ล้ม ตอนแรกคิดว่าพระองค์แค่ถูกล้วงกระเป๋าเท่านั้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินต่อ ลงไปประทับเรือไม่นานก็ทรงเป็นลมแน่นิ่งหมดสติ และเมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่งก็พบว่าพระองค์ถูกแทงทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใกล้พระองค์ตอนประทับบนเรือ หมอมิอาจช่วยอะไรได้ พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโลหิตตกใน จนกลายเป็นห้องปิดตายสมบูรณ์แบบในที่สุด ซึ่งต้องกว่าจะไขคดีนี้ได้ก็นานพอดู และส่งผลให้ลูเชนีถูกนำตัวขึ้นศาล เขากล่าวว่าจะปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์ราชวงศ์ออลีญงส์ของฝรั่งเศสเท่า นั้น โดยเขาคิดว่าพระองค์คือพระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้น เขาพูดว่า "I wanted to kill a royal. It did not matter which one." (ฉันอยากฆ่าราชวงศ์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม)
และคดีนี้ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจแก่ Gaston Leroux's แต่งนิยายเรื่องความลี้ลับของห้องสีเหลื่อง(The Mystery of the Yellow Room)
#อันดับ 2 คดีความลึกลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้(insoluble mystery)
วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 9 มีนาคม 1929 นางล็อกแลนด์ สมิธได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนและเสียงหวด(ไม่มีเสียงปืน)จากร้านซัก แห้งบ้านเลขที่ 5 ของมหานครนิวยอร์ก( Fink,of 4 ทิศตะวันออก ถนน 132nd) เธอได้แจ้งตำรวจให้ไปค้นหาต้นตอของเสียงกรีดร้องนั้น แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงสถานที่อันเป็นที่มาของเสียงนั้น ปรากฏว่า ประตูร้านนั้นปิดตายอย่างแน่นหนาจากด้านใน ยกเว้นหน้าต่างบานเล็กบานหนึ่งที่อยู่เหนือประตูบานใหญ่นั้น(ที่มีไว้ให้หมา แมวหรือจดหมายลอดนั้นแหละ) ซึ่งขนาดของประตูพอที่จะให้เด็กเล็กๆ ลอดตัวเข้าไปได้เท่านั้น ดังนั้นตำรวจจึงส่งเด็กเล็กๆ เข้าไปเปิดประตู และเมื่อสำรวจภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ก็พบนายไอสิดอร์ ฟิงก์(Isidore Fink)นอนตายอยู่บนพื้นห้อง ในสภาพที่ถูกยิงบริเวณหน้าอก 2 นัด และอีกหนึ่งนัดทะลุฝ่ามือซ้ายของเขา และมีกระเป๋าเงินพร้อมเงินสดจำนวนมากยังอยู่ในกระเป๋า
ที่น่าประหลาดใจคือฟิงก์ถูกฆ่าโดยฝีมือใคร และฆาตกรหลบหนีออกไปจากสถานที่ทางด้านไหน เพราะเท่าที่ตรวจสอบจนทั่วบริเวณแล้วก็ไม่พบว่ามีทางออกทางไหนอีก ยกเว้นแต่ละจุดที่เด็กเล็กๆ ลอดเข้าไปเพื่อเปิดประตู เพราะประตูล็อกจากด้านใน และเมื่อตรวจสอบวิถีกระสุนปืนก็พบว่า ฆาตกรจ่อยิงนายฟิงก์ในระยะเผาขน จึงเป็นไปไม่ได้ว่าฆาตกรจะยิงนายฟิงก์จากด้านนอกร้าน ซึ่งท้ายสุดคดีนี้ตำรวจก็ไม่สามารถไขได้ จนขนานนามคดีนี้ว่า " insoluble mystery" และมันก็ถูกนำมาแต่งนิยายในชื่อ "The Mystery of the Fabulous Laundry man."
#อันดับ 1 คดีฆาตกรรมบนรถไฟ(Murder in the Metro)
16 พฤษภาคม 1937 มีคนไปพบ เลติเชีย ตูโรซ์(Laetitia Toureaux) หญิงสาวผู้รักการเต้นรำอายุ 29 ปี ถูกแทงตายด้วยกริซยาวกว่า 9 นิ้วที่คอและนอนตายในห้องว่างเปล่าของตู้ขบวนโบกี้แรก 1 st ของรถไฟใต้ดิน ซึ่งรถไฟขบวนนี้ถูกปล่อยออกจากสถานีปลายทาง Porte de Charenton ในเมืองปารีส เมื่อเวลา 6:27 p.m. และรถไฟขบวนนี้กำลังจะไปลงต่อที่ สถานี Porte Dore ในเวลา 6:28 p.m. เพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นพยานสองคนคือเจ้าหน้าที่สถานีสาบานว่าเขาไม่เห็นใครใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากผู้ตายคนเดียวที่ขึ้นโบกี้แรก และพยานอีกสองที่อยู่ใกล้ทางเข้า-ออกประตูทางเชื่อมโบกี้นี้ก็สาบานว่าไม่มี ใครพยายามเข้า-ออกประตูที่เชื่อมโบกี้แรกนี้เลยสักคน จนกระทั้งมีคนพบศพตูโรซ์หลังจากนั้น ซึ่งจากรูปคดีนี่เป็นการฆาตกรรมไม่ใช้การฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ปัญหาคือฆาตกรสามารถฆ่าเธอได้ไงทั้งๆ ที่มีเวลาลงมือเพียงหนึ่งนาทีกับอีกยี่สิบวินาทีเท่านั้น(บางที่ก็บอกไม่ถึง นาที)ในการสังหาร และสุดท้ายฆาตกรสามารถเข้า-ออกจากโบกี้ที่ผู้ตายอยู่ได้ไงโดยไม่เห็นพยาน ทั้งหลายเห็น(ถ้าฆาตกรเป็นพนักงานรถไฟจะต้องมีเลือดกระเด็นติดตัวพวกเขาสิ แต่นี้ไม่มี) ผลสุดท้ายบทสรุปกว่า 800 หน้าของคดีนี้กลายเป็นไร้ประโยชน์ พยานกว่า 800 รายก็ว่างเปล่า และผู้ต้องสงสัยกว่า 71ราย ก็ไม่มีใครน่าสงสัย และจนบัดนี้คดีปริศนาที่ไม่มีใครไขคดีนี้สักคน และกลายเป็นสุดยอดคดีฆาตกรรมห้องปิดตายของโลก(ในความคิดของผม) เพราะคดีสามารถสร้างปาฏิหาร์ยภายใน 1 นาทีได้ยิ่งกว่าต้มมาม่าเสียอีก
ที่มา : ลัทธิรักการอ่าน พุญเพ็ง หีบเหล็ก
บีเวอร์ นักสร้างเขื่อนตัวน้อย
บีเวอร์ (Beaver) จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่อยู่ในกลุ่มสัตว์ฟันแทะเช่นเดียวกับกระรอกยักษ์
พวกมันมีอยู่ด้วยกันสองสายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ยูเรเชียน (Eurasian beaver) ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor fiber กับ พันธุ์อเมริกาเหนือ (North American beaver) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ก็คือ Castor Canadensis (Rodentia) ทั้งสองชนิดจัดอยู่ในวงศ์ Castoridae ถึงแม้จะมีขนาดและรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองสายพันธุ์ แยกขาดจากกันตั้งแต่เมื่อ 24,000 ปีที่แล้ว พวกมันจึงไม่สามารถผสมพันธุ์กันเองได้อีก บีเวอร์มีขนาดตัวใหญ่กว่าที่คุณคิด
สายพันธุ์ยูเรเชียน |
พันธุ์อเมริกาเหนือ |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor ohioensis ซึ่งได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน
มีขนาดเท่ากับยอดนักชกอย่างไมค์ ไทสันเลยทีเดียว หลายคนอาจจะเคยเห็นหรือรู้จักบีเวอร์จากในภาพยนตร์การ์ตูนหรืออนิเมชั่น หรือสารคดีหลายเรื่อง เช่น Angry Beaver และ Ice Age เป็นต้น
บีเวอร์ เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเฉพาะเขตซีกโลกเหนือ ในเขตที่มีภูมิอากาศอบอุ่น
และยังไม่เคยพบเห็นตามเขตเส้นศูนย์สูตรปัจจุบัน สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะและพฤติกรรมที่โดดเด่น
ทำให้คนทั่วไปสามารถจดจำพวกมันได้อย่างแม่นยำตั้งแต่แรกเห็น ด้วยลักษณะที่ว่าพวกมันมีฟันหน้า
หรือฟันแทะ (incisor) ที่มีขนาดใหญ่เพื่อใช้ไว้แทะเปลือกไม้ตามต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อใช้ในจุดประสงค์บางอย่างบีเวอร์เป็นผู้มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพแวดล้อมของถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน
มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใด (ยกเว้นมนุษย์) พวกมันทำการก่อสร้างตามสัญชาตญาณและเอาลูกๆ ใส่ไว้ในคอกที่สร้างขึ้นพวกมันสามารถโค่นต้นไม้ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้วได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง การสร้างเขื่อนของบีเวอร์ มีผลต่อระบบนิเวศอย่างมาก เพราะแหล่งน้ำที่ได้จากเขื่อน จะดึงดูดสัตว์จำพวกปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลานให้เข้ามาอาศัยและหากินใกล้บริเวณเขื่อน
นอกจากนี้ การสร้างเขื่อนยังมีประโยชน์ในการป้องกันพวกมันจากนักล่า เนื่องจากบีเวอร์นั้น
จัดเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่ในน้ำ (semi-aquatic animal) ดังนั้นบีเวอร์จึงต้องการแหล่งน้ำจากเขื่อน และหางของพวกมันก็มีลักษณะแบนเป็นเสมือนพายของเรือ ซึ่งช่วยให้พวกมันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้นเมื่ออาศัยอยู่ในน้ำ
ซึ่งเขื่อนจากฝีมือตัวบีเวอร์ที่ ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น ได้มีการบันทึกว่ามีความยาวถึง 853 เมตร
ถูกค้นพบที่อุทยาน Wood Buffalo National Park บริเวณทางเหนือของ Alberta ประเทศแคนนาดา
โดยเขื่อนบีเวอร์ ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ เกิดขึ้นจาก บีเวอร์สองครอบครัว ที่สร้างเขื่อน จากกิ่งไม้ เลน โคลน และมูลของตัวบีเวอร์ ขวางทางน้ำเพื่อปรับสภาพแวดล้อมโดยรอบให้เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อปกป้องรัง และเป็นแหล่งอาหารของพวกมัน
บีเวอร์สามารถดำน้ำได้นานถึง 15 นาที พวกมันมีตีนคู่หลังที่มีลักษณะคล้ายพังผืด
หางแบนที่นำทางเหมือนหางเสือ เปลือกตาโปร่งแสงที่ทำหน้าที่เหมือนแว่นตาว่ายน้ำ
ริมฝีปากซึ่งมีขนขึ้นเป็นแนวที่สามารถกั้นน้ำได้ รวมถึงหูที่สามารถปิดและโพรงจมูกที่สามารถเปิด
ซึ่งช่วยให้พวกมันแทะใต้น้ำได้ ฟันหน้าสี่ซี่ของบีเวอร์มีสีส้มสุกสว่าง ฟันของพวกมันมีสารเคลือบฟัน
หรือเรียกว่า อีนาเมล (enamel) ซึ่งอีนาเมลนี้ประกอบไปด้วยสารอนินทรีย์ คือ Hydroxyapatite (Ca5(PO4)3(OH)) ได้แก่ แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ซึ่งคงทนต่อการผุพังอย่างมาก
แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่า “ไม่เคยอยู่เฉย” แต่พวกมันก็ค่อนข้างขี้เกียจ ในช่วงฤดูหนาว บีเวอร์จะออกจากโพรงโดยเฉลี่ยหนึ่งครั้งในทุกสองสัปดาห์ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง หางขนของบีเวอร์จะมีขนาดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะบีเวอร์เก็บกักไขมันเอาไว้มี่หางของมัน ด้วยเหตุนี้ หางของมันจึงมีขนาดเล็กลงเมื่อมีการเผาผลาญไขมันตลอดฤดูหนาว
Cr ; http://pantip.com/topic/31098309
เรือสำราญที่หรูและใหญ่ที่สุดในโลก
เรือสำราญที่หรูและใหญ่ที่ส ุดในโลกนั่นก็คือ เรือเอ็มเอส โอเอซิสออฟเดอะซีส์ ( MS Oasis of the Seas) โดยที่เรือลำนี้นั้นเป็นของบริษัทรอยัลแคริบเบี ยนอินเตอร์
เนชั่นแนล ระวางขับน้ำของเรือลำนี้มี 225,282 ตัน ความกว้างของเรือ 65 เมตร ความสูงของเรือ
75 เมตร และความยาวของเรือนั้น 370 เมตร กินน้ำลึก 23 เมตร ตัวเรือนั้นถูกแบ่งออกเป็น 16 ชั้น เรือลำนี้สามารถบรรจุผู้โดยสารสูงสุด 9,550 คน
ส่วนเรื่องความเร็วนั้นมีความเร็วถึง 22.6 นอต ส่วนในตัวเรือนั้นมีห้องพัก 2700
ห้อง สระว่ายน้ำทั้ง Indoor Outdoor กว่า 14 สระ อ่างน้ำวน
กิจกรรมปีนเขาจำลอง สวนสนุก พลาซ่าช็อปปิ้งมอลล์ โรงภาพยนตร์ โรงละคร
ภัตาคาร คาเฟ่ คาซิโน บาร์ ไนท์คลับ สปา ฟิตเนส เซ็นทรัล ปาร์ค
สวนหย่อมขนาดประมาณ 1 สนามฟุตบอล ลานจอดเฮริคอปเตอร์ ฯลฯ
เรือลำนี้มูลค่ากว่า 4.7 หมื่นล้านบาทเรือสำราญ
และเรือลำขนาดนี้จะต้องใช้ระยะทางแค่ไหนในการหยุดเ รือเอ็มเอส โอเอซิสออฟเดอะซีส์ หากจำเป็นที่จะต้องหยุดเรือนี่ต้ องใช้เวลานานแค่ไหน คงไม่รวดเร็วเหมือนการเบรคร ถยนต์เป็นแน่ คำตอบก็คือ เรือสำราญใช้เวลาหยุดเรือ 60 กว่ากิโลเมตร ซึ่งต้องมีกัปตันเรือคอยเป็ นผู้กำกับไม่ให้ผิดพลาด ไม่งั้นจะต้องย้อนเรือกลับ แต่ถ้าเป็นเรือสำราญขนาดใหญ ่ยักษ์ อย่างเช่น "MS Oasis of the Seas" ต้องใช้ระยะทาง 65,490 เมตรในการเบรกเรือให้หยุดอย ู่กับที่ได้
และเรือลำขนาดนี้จะต้องใช้ระยะทางแค่ไหนในการหยุดเ
ความแตกต่าง ตำรวจไทย กับ ตำรวจอเมริกา
1. ไม่มีกรมตำรวจ ไม่มีแม้แต่ทบวงหรือกระทรวงตำรวจเหมือนประเทศอื่น จึงไม่มีสายการบังคับบัญชายุ่บยั่บเหมือนของไทย
2. ไม่มีโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ละเมืองคัดตำรวจกันเอง วิธีคัดก็ไม่เหมือนกัน คัดได้แล้วก็ส่งไปอบรมที่โรงเรียนตำรวจ 26 สัปดาห์ เป็นอันว่าจบหลักสูตรออกมาทำงานได้ ตำรวจอเมริกันจึงไม่มีการแบ่งว่า ฉันจบจากโรงเรียนนายร้อย อั๊วจบมหาวิทยาลัย ข้ามาจาก จปร. (จ่าเป็นนายร้อย)
3. ไม่มีอธิบดีกรมตำรวจ ที่หนังสือพิมพ์อเมริกันเรียก police chief นั้น อย่าไปแปลว่าอธิบดีกรมตำรวจนะครับ ไม่มีกรมจะทะลึ่งไปมีอธิบดีได้ยังไง ตำแหน่งนี้ ก็คือ หัวหน้าตำรวจของแต่ละเมือง อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายกเทศมนตรีอีกที ตำรวจจึงต้องทำงานเอาใจนายกเล็ก นายกต้องลงแส้ให้ตำรวจทำงานให้มีประสิทธิภาพ กลัวว่าครั้งหน้าจะไม่มีใครเลือก เมืองไทยน่าจะทดลองให้ตำรวจนครบาลขึ้นกับผู้ว่าฯ กทม.ดูบ้าง อาจจะแก้ปัญหาตำรวจได้
4. ตำรวจอเมริกันไม่มียศชั้นนายพัน สูงสุดเป็นแค่นายร้อย สูงกว่านั้นใช้นาย คุณอาจจะต้องสงสัยว่าถ้าอย่างนั้นจะสั่งงานกันอย่างไรก็ว่ากันไปตามตำแหน่ง ตำรวจไม่มียศก็ดีไปอย่าง ไม่มีความรู้สึกว่า เป็นเจ้าขุนมูลนาย ในบ้านเรา บางคนอาจจะไม่อยากเป็นตำรวจ แต่อยากมียศ ไม่รักอาชีพ ไม่รักงาน แต่รักยศ เหตุผลที่เข้ามาเป็นตำรวจ ของตำรวจบางนาย ฟังแล้วอยากร้องไห้...คุณแม่อยากให้รับราชการเป็นตำรวจ เพื่อเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูล
5. ตำรวจอเมริกันไม่มีการโยกย้ายไปเมืองนั้นเมืองนี้ เริ่มต้นเป็นตำรวจเมืองไหนก็ต้องอยู่ที่นั่นไปตลอด ตำรวจแต่ละคนจึงต้องรักษาประวัติตัวเอง เหม็นเมื่อไรหมดโอกาสสร้างอนาคตใหม่ ในสหรัฐฯไม่มีจังหวัดเหมือนบ้านเรา มีเพียง city กับ town ซิตี้ คือ เมืองใหญ่ ทาวน์เป็นเมืองเล็ก ทาวน์บางแห่งมีคนไม่กี่พัน จ่าวัตสันตบทรัพย์น้าแมรี่ รู้กันเพียงชั่วข้ามคืน ใครเหม็นก็ต้องออก ตำรวจเน่าจากหาดใหญ่ ไปสดใสที่ขอนแก่น อย่างนี้ไม่มีในอเมริกาครับ
6. ตำรวจอเมริกันไม่ต้องวิ่งเต้นโยกย้ายเหมือนตำรวจบาง ประเทศ ที่เสียสตางค์กันทีหนึ่งเป็นแสนๆ บาท เสียแล้วก็ต้องถอนทุนคืน สะสมกำไรเพื่อวิ่งเต้นไปลงโรงพักเกรดดียิ่งๆ ขึ้น ประมูลตำแหน่งกันยังกะประมูลรถยนต์ นายเวรผู้บัญชาการต้องทำกราฟ ทำตารางแจกแจงรายได้ รายจ่าย พร้อมราคาของแต่ละตำแหน่งไว้เสร็จสรรพ ส่งรายเดือนยังไม่พอ ตำรวจระดับนายร้อยขึ้นไปต้องชกป้องกันตำแหน่งทุก 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปีอีกด้วย ไฟต์ไหนชกพลาด เตรียมเก็บข้าวเก็บของไปอยู่ สภ.อ. หลังเขาได้
7. ที่อเมริกาเงินเดือนของตำรวจเมืองไหน ก็เอามาจากภาษีของประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นไปจ่าย ตำรวจจึงรู้สึกว่าจะต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้าง ต้องรับผิดชอบต่อคนทั้งเมือง ประเทศที่ใช้เงินเดือนมาจากงบกลางอย่างบ้านเรา ความรู้สึกของผู้คนก็จะเฉยๆ ไม่มีส่วนร่วมในการควบคุมกิจการตำรวจ คุณเคยเห็นรถราชการเก่าๆจอดเฉยๆอยู่ตามโรงพักไหมครับ ไม่ยอมส่งคืนหลวงเพื่อแลกรถใหม่มาใช้...รถใหม่ไม่เอา...เรา (ระดับสารวัตรขึ้นไป) รักรถเก่าที่วิ่งไม่ได้...เพราะรถเก่าไม่ต้องใช้น้ำมัน ถ้ายังมีรถหลวงก็ยังต้องส่งน้ำมันมาให้ เราก็จะได้เอาไว้เติมรถส่วนตัวของเรา...
ตำรวจอเมริกาที่เขาได้รับการยอมรับจากประชาชนมากกว่าเราเนื่องจากการทุจริต แทบไม่มีเลยเพราะเขาเป็นตำรวจที่อยู่ประจำเมืองถ้าทำตัวไม่ดีมีสิทธิขึ้น บัญชีหนังหมาและคนที่จะพิพากษาตัวเขาก็คือประชาชน ยิ่งถ้าเมืองไหนเป็นเมืองเล็กๆจะเห็นหน้าเห็นตากันทุกวัน รับรองบ่อน ซ่อง ผิดกฏหมายไม่มีแน่ หากมีที่ไหนถึงวันประชุมประจำเดือนฝ่ายค้านก็จะนำเรื่องเข้าที่ประชุม นายกเทศมนตรีก็เกรงว่าเลือกตั้งครั้งหน้าตัวเองไม่ได้แน่ ก็ต้องเร่งมาที่ตำรวจ แล้วตำรวจจะอยู่นิ่งเฉยได้เหรอ ระบบแบบนี้ข้อดีประชาชนจะคอยเป็นหูเป็นตาคอยดูสิ่งที่ผิดปกติในเมือง แล้วจะแจ้งไปยังฝ่ายค้าน ถ้าบ้านเรามีแบบนี้รับรองสิ่งผิดกฏหมายหายไปเยอะและตำรวจที่จะไปรีดไถหรือ เมาทั้งปีไม่มีแน่เพราะเขาคงไม่เอาไว้ให้เปลืองภาษีของเขาแน่นอน บางเมืองของอเมริกาเคยมีข่าวหมอผ่าตัดทำให้คนไข้ตาย พอเข้าที่ประชุมนายกเทศมนตรีก็จะตรวจสอบหมอหากผิดก็ต้องรับผิดไป จึงทำให้ทุกหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อท้องถิ่นต้องบริการประชาชนอย่างเต็มที่ หากข้าราชการดูแลประชาชนดี บ้านเมืองสงบ นักธุรกิจก็จะมาลงทุนเสียภาษีเข้าเมืองมาก ท้องถิ่นมีรายได้มากก็จะสามารถจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการมาก
Cr; http://pantip.com/topic/31102548
ประเทศ.. อิตาลี
ธงชาติ |
ตราแผ่นดิน |
ยูนุก หรือ ขันที คือ...??
ขันทีที่ถูกตอน |
ลักษณะการตอน ขันที แบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง
1. ถูกตอนโดยตัดแค่ปลายองคชาตเท่านั้น ยังเหลือพวงอัณฑะอยู่ ขันทีประเภทนี้ ยังเหลือฮอร์โมนเพศชายอยู่มากมาย เสียงยังห้าวแบบชาย และจะได้อนุญาตให้ปฏิบัติภารกิจหน้าที่การงานได้เฉพาะเขตพระราชฐานชั้นนอก เท่านั้น
2. ถูกตอนโดยตัดทิ้งทั้งพวง เสียงจะแหลมเล็ก ลูกกระเดือกหายไป ฮอร์โมนเพศชายหมดไป พวกนี้จะได้รับความไว้ใจสูงกว่า และสามารถปฏิบัติงานในเขตพระราชฐานชั้นใน
ขั้นตอนการตอน ขันทีจีน
1.ใช้มีลักษณะคล้ายเคียว ตัดและกรีด อวัยวะเพศ ลูกอัณฑะออกอย่างรวดเร็ว
2.ใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นท่อนเล็กอุดไว้ที่ท่อปัสสวะ เพื่อป้องกันแผลปิดรูฉี่
3.ใช้กระดาษบางแช่สุราต้มพริกไทยปิดไว้หลายๆชั้น
4.เมื่อผ่านไปสามวันแล้วจึงค่อยๆเอากระดาษออกทีละแผ่นกระทั่งหมด และแผลจะค่อยหายเป็นปรกติภายหลังสามเดือน
5.หลังจากตัดเสร็จแล้ว ก็ต้องเก็บดองไว้ในโหลอย่างดี เพราะมีความเชื่อว่าหลังจากเสียชีวิตแล้วจะต้องนำอวัยวะเพศที่ตัดออกฝังรวม ไปกับศพด้วย เพื่อให้ชาติหน้าเกิดมามีอวัยวะสืบพันธุ์ดังเดิม
มีดที่ใช้ตอนขันที |
การช่วยตัวเองมีประโยชน์กว่าที่คิด...
ผลการวิจัยออกมาอย่างเป็นทางการนะครับว่า การที่คุณผู้ชายช่วยตัวเองหรือการ "ว่าว" นั้นนะครับมีผลให้เป็นคนอารมณ์ดีขึ้นอันเนื่องมาจากหลั่งจากการที่หลั่งอสุจิออกมาแล้วนั้นร่างกายจะหลั่ง Hormone Cortisol ออกมา ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลในการจัดการกับความเครียดของสมองโดยการหลั่งนั้นจะช่วยทำให้สมองรับสาร Cortisol อย่างพอดี
อีกทั้งทำให้สมองปล่อยสารที่เกี่ยวกับการทำให้อารมณ์ดีจำพวก Neurochemicals เช่น Dopamine และ Oxytocin อันเนื่องมาการความรู้สึกถึงจุดสุดยอด
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เรื่องเข้าใจผิดที่เรายังเชื่อว่าถูก....
แม้ความจริงจะเป็นเรื่องที่เคยมีการพิสูจน์มาแล้ว แต่ความจริงบางอย่างก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีการพิสูจน์ครั้งใหม่หรือ เจอหลักฐานใหม่ๆ ขึ้นมาหักล้างข้อเท็จจริงเดิม ดังเช่นความจริงที่เราเข้าใจผิดดังต่อไปนี้
หัวเปียกและอากาศที่เย็นทำให้คุณป่วยได้
สำหรับคนรักสุขภาพคงพยายามทำทุกวิธีเพื่อให้หัวของตัวเองแห้งเมื่อต้องอยู่ ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น เพราะเชื่อว่าถ้าหัวเปียกจะทำให้ป่วยง่ายขึ้น แต่เอาเข้าจริงไม่ว่าหัวของคุณจะแห้งหรือเปียกก็มีโอกาสป่วยพอๆ กันนั่นแหละ
นักรบไวกิ้งต้องมีหมวกเขา
ไม่ว่าจะในภาพยนตร์หรือหนังการ์ตูน สิ่งที่ติดเราเกี่ยวกับโจรสลัดไวกิ้งนั่นคือชายร่างยักษ์ หนวดเครารุงรัง ที่มาพร้อมขวานและหมวกมีเขา แต่ความจริงแล้วเครื่องประดับบนหัวนั้นเป็นเพียงจินตนาการที่เพิ่มเข้ามา หลังจากไวกิ้งตัวเป็นๆ หายไปจากโลกแล้วเท่านั้น
กินน้ำตาลเยอะๆ ทำให้สุนัขดุและก้าวร้าว
ความจริงคือน้ำตาลไม่มีผลต่อความดุของสุนัขเลยสักนิด เพียงแต่น้ำตาลนั้นเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ถ้าสุนัขมีพลังงานสะสมอยู่มากๆ และเมื่อไม่ได้ระบายพลังงานจำนวนมากออกมาสุนัขก็จะเครียด และหงุดหงิดง่าย
คนสูญเสียความร้อนทางศีรษะมากที่สุด
เราเชื่อกันมาตลอดว่าร่างกายสูญเสียความร้อนทางศีรษะมากที่สุด แต่เอาเข้าจริงในสภาพอากาศที่หนาวเย็น เรามีโอกาสสูญเสียความร้อนทางผิวหนังที่แขนและขามากกว่าหัวซะอีก
หักนิ้วบ่อยๆ จะทำให้ข้อนิ้วอักเสบ
เสียงดัง "เป๊าะๆ" เวลาหักนิ้วมันช่างฟังดูผ่อนคลายเสียนี่กระไร แต่หลายคนมักเข้าใจว่ายิ่งหักก็ยิ่งเสี่ยงต่ออาการข้อนิ้วอักเสบมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกครับ อย่างมากก็แค่บาดเจ็บบริเวณเส้นเอ็นเท่านั้นแหละ
นโบเลียนสูงแค่ 5 ฟุต 2 นิ้ว
ใครๆ ต่างก็คิดว่าผู้นำแห่งกองทัพฝรั่งเศสที่ทั่วโลกเคยยำเกรงนั้นสูงแค่ 5 ฟุต 2 นิ้ว ซึ่งเตี้ยเอามากๆ แต่ใครจะไปคิดละครับว่าจริงๆ แล้ว ส่วนสูงของนโบเลียนนั้นสูงกว่าส่วนสูงเฉลี่ยของคนในยุคนั้นซะอีก
ต้องยืดเส้นยืดสายก่อนกออกกำลังกายจริง
ทั่วโลกถูกฝังหัวมาในลักษณะเดียวกันว่าก่อนออกกำลังจำเป็นต้องยืดเส้นยืดสาย เส้นก่อนเพื่อลดโอกาสที่จะทำให้ร่างกายบาดเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานว่าถ้าคุณยืดเส้นยืดสายแล้วคุณจะไม่บาด เจ็บจากการออกกำลัง และที่สำคัญคือการจริงจังกับการวอร์มอัพก่อนเอาจริงนั้น จะทำให้ประสิทธิภาพในการออกกำลังของคุณลดลงอีกด้วย ดังนั้นอย่าซีเรียสกับการวอร์มอัพจนลืมไปว่ามันเป็นแค่การเตรียมพร้อม
คอเลสเตอรอลจากไข่ก็อันตรายต่อหัวใจ
แค่พูดว่าคอเลสเตอรอลก็ขนลุกขนพองกันหมดแล้ว และไม่ว่าคอเลสเตอรอลนั้นจะมาจากเนื้อหรือจากไข่หรือจากอาหารชนิดไหนก็ดูน่า กลัวไปหมด แต่ความจริงแล้วปริมาณคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวในไข่นั้นแทบไม่มีผลต่อการ สะสมคอเรสเตอรอลในร่างกายเลยสักนิด แถมยังถูกย่อยสลายได้ง่ายอีกด้วย
สุนัขอายุมากกว่าคน 7 เท่า
เป็นความเข้าใจที่ถูกครึ่งเดียวครับ เพราะการคำนวณด้วยตัวเลขนั้น แตกต่างกันไปตามขนาดของสุนัขแต่ละสายพันธุ์ รวมทั้งยังลดลงตามอายุจริงของสุนัขที่เพิ่มขึ้นด้วย
ฟันปลอมของจอร์จ วอชิงตันทำจากไม้
ใครที่เคยอ่านประวัติศาสตร์แบบฉาบฉวยมาบ้าง คงคิดว่าฟันปลอมของจอร์จ วอชิงตันทำจากไม้ แต่ความจริงแล้วในยุคนั้นไม่นิยมนำไม้ทำเป็นฟันปลอมเลยสักนิด เพราะฟันปลอมส่วนใหญ่มักทำจากทอง ฟันสัตว์ หรือใช้ฟันมนุษย์แทนมากกว่า นอกจากนี้ยังมีน็อตเสริมความแข็งแรงอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก :mnn.com
Cr.Spokedark.tv
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ภาพเหมือนของโคลัมบัส วาดหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว โดยเซบัสเตียโน เดล ปีออมโบ |
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นั้นเป็นนักทำแผนที่ นักสำรวจ นักเดินเรือ และพ่อค้าชาวอิตาเลียน เชื่อกันว่าโคลัมบัสเกิดที่สาธารณรัฐเจนัวเจนัว (ในปัจจุบันคือประเทศอิตาลี) เมื่อปี 1994จากการสนับสนุนขอราชสำนักเสปนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้เดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจึงได้ทำให้ชาวยุโรปได้รู้จกกับทวีปอเมริกาแต่ถึงแม้ว่าโคลัมบัสนั้นจะไม่ใช่เป็นคนแรกที่มาถึงทวีปอเมริกาแต่การค้นพบครั้งนี้ของโคลัมบัสนั้นก็ทำให้เกิดการติดต่ออย่างถาวรและต่อเนื่องระหว่าง โลกใหม่ (ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติก) กับโลกเก่า (ฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติก) นำไปสู่ช่วงเวลาของการสำรวจและการล่าอาณานิคมในดินแดนภายนอกทวีปยุโรปที่ ดำเนินผ่านเวลาหลายศตวรรษและส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ของโลกตะวันตกสมัยใหม่
ในช่วงที่ลัทธิจักรวรรดินิยมและการแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ ในยุโรป กำลังเริ่มขึ้นนั้น โคลัมบัสได้วางแผนการเดินทางไปยังอินเดียตะวันออกโดย เดินเรือมุ่งไปทางตะวันตก ในสมัยนั้นผู้คนยังเชื่อว่าโลกแบนแต่โคลัมบัสเขาเองนั้นมีความเชื่อว่าโลกมีรูปร่างเป็นทรงกลม ความเชื่อนี้จึงขัดแย้งกับแนวความเชื่อในยุคสมัยนั้น แต่ปัญหาสำคัญที่มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง คือ ความเป็นไปได้ของการเดินทางรอบโลก เนื่องมาจากอุปสรรคเรื่องของอาหารและข้อจำกัดทางเทคโนโลยีการเดินเรือในสมัย นั้น เช่น การเดินเรือไปติดในบริเวณที่ไม่มีลมพัด เป็นต้น
โคลัมบัสเขาจึงเสนอเป็นผู้สำรวจดินแดนให้กษัริย์โปรตุเกสเพื่อขอทุนทรัพย์เพื่อการเดินทางสำรวจแต่ไม่สำเร็จ จึงเดินทางไปประเทศสเปนและเสนอตัวต่อ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ ที่ 2 (Ferdinand II of Aragon) และ พระนางอิสซาเบลลา ที่ 1 (Isabella of Castile) เพื่อออกสำรวจอินเดียและจีน เพื่อทำการค้าเครื่องเทศและผ้าไหมและได้รับการอนุมัติให้ออกเดินทางเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2035 โคลัมบัสนำเรือ 3 ลำโดยเรือนินา (Nina) พินตา (Pinta)และซานตา มาเรีย (Santa Maria) พร้อมกับลูกเรืออีก 90 คนออกเดินทางโดยแล่นเรือไปทางทิศตะวันตกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค จากที่โคลัมบัสตั้งใจจะไปถึงเกาะญี่ปุ่นซึ่งเขาคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของเอเชีย เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2035 เขากลับไปถึงเกาะแห่งหนึ่งและตั้งชื่อว่า "ซาน ซัลวาดอร์" (San Salvador) ปัจจุบันคือ เกาะบาฮามาส์ (Bahamas) ทางตะวันออกของฟลอริดา ประเทศสหรัฐ หลังจากนั้นเขาเดินเรือต่อไปจนถึงคิวบา ฮิสปานิโอลา เปอร์โตริโก จาเมกา ตรินิแดด เวเนาซุเอลา และคอคอดปานามา
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เสียชีวิตในปี 1506 โดยที่โคลัมบัสยัังเชื่อมาตลอดจนเสียชีวิตว่าดินแดนที่เขาค้นพบนั้นคือทวีปเอเชีย ภายหลังได้มีการกำหนดให้วันที่ 12 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่โคลัมบัสมาถึงอเมริกาเป็น "วันโคลัมบัส" มีการเฉลิมฉลองกันในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้
เส้นทางเดินเรือของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส |
น้ำแร่และน้ำเปล่าแตกต่างกันอย่างไร
น้ำแร่และน้ำเปล่าแตกต่างกันอย่างไร
น้ำเปล่า เป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารอาหารใดๆ เป็นโมเลกุลที่มีขั้ว ประกอบไปด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอมยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไฮโดรเจน น้ำเป็นตัวทำละลายที่ดีมากๆ และร่างกายสามารถดูดซึ่มได้รวดเร็วและดี ที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำชนิดอื่นๆ น้ำแร่ เป็นน้ำที่อยู่ใต้ดินซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย แต่แร่ธาตุจะมากหรือจะน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่เกิดทางธรณีวิทยา เช่น ถ้าเกิดในบริเวณชั้นหินที่มีอายุเยอะแล้วจะมีความอุดมสมบูรณืของแร่ธาตุดี มาก แต่สารอาหารในน้ำแร่ ก็มีทั้งที่ดีและไม่ดีกับร่างกาย สารอาหารที่ดีต่อร่างกายในน้ำแร่ก็อย่างเช่น เกลือซัลเฟต ช่วยในการขับถ่าย , ฟลูออไรด์ , แคลเซียม , โพแทสเซี่ยม ช่วยในกระบวนการเมทาบอลิซึ่ม , โซเดียม ช่วยรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย เป็นต้นและน้ำแร่แบ่งได้อีกหลายชนิด ตามแหล่งที่เกิดและสรรพคุณที่ช่วยในการรักษาโรค ส่วนสารอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น สารหนู โครเมียม ไซยาไนด์ โมลิบดินัม แวนาเดียม เป็นต้น สิ่งที่เหมือนกันระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า คือ เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการเพื่อนนำน้ำไปใช้ในกระบวรการต่างๆของร่างกาย เช่น ขับของเสียออกจากร่างกาย สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า ความแตกต่างระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า จะต่างกันที่น้ำแร่มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมากกว่าน้ำเปล่าเท่านั้นเอง แต่แร่ธาตุเหล่านี้ เราจะได้รับอยู่แล้วในทุกๆ วัน ซึ่งได้จากการรับประทานอาหาร ถ้าร่างกายได้รับแร่ธาตุมากเกินไป ก็จะถูกขับออกมาในรูปของของเสีย ทำให้ดื่มไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาสำหรับท่านใดที่ดื่มน้ำแร่แทนน้ำ เปล่าก็ลองพิจรณากันดูอีกทีนะ เพราะราคาที่แพงกว่าแต่คุณค่ามีเท่าๆกัน ข้อเสียสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดื่มน้ำหรือน้ำเปล่า โดยการเลือกดื่ม น้ำหวาน น้ำอัดลม หรือ กาฟแทน หรือบางท่านอาจดื่มเฉพาะเวลาที่รู้สึกกระหายน้ำเท่านั้น ขอบอกว่าให้เลิกพฤติกรรมนี้ซะ เพราะว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกานจะไปกระไปด้วยน้ำ ถ้าคุณไม่ดื่มน้ำหรือดื่มแต่น้ำหวาน จะส่งผลให้เซลล์ในร่างกายเหี่ยว ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ สุขภาพย่ำแย่ ไม่มีสมาธิเพราะสมองขาดน้ำ รู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิดง่าย อาจเกิดการตกผลึกของเกลือแร่ทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ง่าย หัวใจต้องทำงานหนักเป็นอย่างมากเพราะ ในเลือดไม่มีน้ำ แต่กลับมีน้ำตาลอยู่ ทำให้เลือด เหนี่ยวและข้น ยากต่อการที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ปาก คอ ผิวพรรณ แห้ง มันมีผลเสียมาเลยใช่ไหมค่ะ กับการที่ร่างกายขาดน้ำ สำหรับท่านใดที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ก็เริ่มมาดื่มด้วยวิธีการจิ๊บน้ำแทนก่อน จิบบ่อยๆ และค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นค่ะ และเราก็จะเคยชินกับการดื่มน้ำไปเอง
หุ่นโบราณเจาะเวลาหาจิ๋นซี(จริงเร๊อะ..??)
หุ่นปั้นโบราณ ที่วางอยู่ในร้านขายงานศิลปะยุคราชวงศ์หมิง ที่คนขายบอกว่าเป็นของแท้ (ภาพเว่ยปั่ว) |
เมื่อได้ยินดังนั้นนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวจึงสนใจเพราะเนื้อปูดูเก่าสมยุคแต่ด้วยความสงสัยว่าจริงแท้ประการใดจริงได้โพสภาพลงอิเทอร์เนตเพื่อให้หลายคนช่วยวิเคาระห์ และไม่นานหลังจากนั้นได้มีหลายๆคนวิเคราะห์และลงความเห็นว่า นี่เป็นหุ่นในยุคสมัยราชวงศ์ฉิน.. นี่แหละ หุ่นโบราณเจาะเวลาหาจิ๋นซี
ข้อมูลนำเรื่อง
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000127336
วิธีเข้าหาสาวๆ ในผับอย่างสุภาพ
...มันจะไปยากอะไร แค่เดินเข้าไปขอเบอร์ ขอเบอร์ แล้วติดต่อกลับไปก็จบแล้ว จะทำอะไรให้มันยุ่งยาก..
ก็จริงครับสำหรับใครก็ตามที่ต้องการบริหารเสน่ห์ยามราตรี
วิธีนี้ได้ผลชะงัดแน่นอน แต่ก็ส่วนน้อยของสาวๆ
เท่านั้นละครับที่เขาชื่นชอบวิธีการประมาณนี้
และมักไม่ค่อยจริงจังกับสถานการณ์แบบนี้เท่าไหร่
เอาเป็นว่าถ้าคุณสนใจเธอที่ยืนสว่างวาบอยู่ตรงเคาน์เตอร์จริงๆ
เราแนะนำให้ฉุด เอ๊ย! แนะนำวิธีเข้าหาเธอแบบสุภาพๆ ดังต่อไปนี้
พยายามอยู่ในระยะสายตาของเธอ
เมื่อเรดาร์ล็อคเป้าได้แล้ว ก็ควรแสดงตัวออกมาด้วย อย่าทำตัวเป็นอีแอบที่หลบสายตาเวลาเธอมอง แล้วแอบโลมเลียเวลาเธอเผลอ เพราะนอกจากมันจะดูไม่แมนแล้ว เชื่อเถอะว่าผู้หญิงทุกคนเขารู้ตัวทั้งนั้นแหละว่าโดนลวนลามทางสายตาหรือ เปล่า อยู่ที่ว่าเธอจะพูดหรือไม่เท่านั้นแหละ
ผ่อนคลายเข้าไว้
เมื่อประกาศตัวไปแล้วว่าคุณมองเธออยู่นะ ก็อย่าลุกลี้ลุกรนจนออกนอกหน้า พยายามนิ่งเข้าไว้ แม้เธอจะดูออกก็ตามว่าคุณกำลังแอ๊บนิ่งอยู่ก็ตามที แต่มันก็ยังดูดีกว่าการที่คุณเดินกำมือถือเข้าไปเนียนๆ และเริ่มต้นการสนทนาว่า ขอเบอร์/ขอไลน์ ได้ไหมครับ
ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเหล้าเธอ
อย่าคิดว่าแค่เลี้ยงเหล้าแล้วเธอจะกลายเป็นของคุณได้ ตรงกันข้ามนั่นจะยิ่งทำให้คุณดูเป็นคนหิวๆ ที่จ้องจะหลอกมอมเหล้าเธอซะอีก ทางที่ดีเริ่มต้นด้วยการแนะตัวและพูดคุยกันจะดีกว่า หรือถ้าคุณคิดว่าการเลี้ยงเหล้าคือวิธีที่ดีที่สุด คุณก็จะได้ผู้อยากเหล้ามาอยู่ข้างๆ เช่นกัน
รวมถึงเพื่อนๆ ของเธอด้วย
การคิดจะเข้าทางเพื่อนอาจฟังดูเป็นเรื่องดี แต่การโชว์ป๋าท่ามกลางสาวๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน คุณอาจหมดตัวเอาง่ายๆ โดยที่ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลยแม้แต่เบอร์รองเท้าของเธอ
เก็บตังค์ในกระเป๋าคุณไว้ซะ
คุณอาจคิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่ผู้หญิงที่ซื้อมาได้ด้วยเงิน ก็มักพาความยุ่งยากมาฝากคุณอยู่เสมอ ฉะนั้นไม่ต้องโชว์ป๋าและดูอาการของเธอเหล่านั้นว่าถ้าคุณแอบเงินไว้ใน กระเป๋าแล้วเข้าไปหาเธอตัวเปล่า ผลจะเป็นยังไง
ถ้าคิดจะคุยก็จงมองหน้า อย่ามองนม
เมื่อผ่านด่านแรกจนสามารถเข้าไปคุยกับเธอได้แล้ว แนะนำว่าอย่าละสายตาจากใบหน้าของเธอไปยังเนินอกที่เธอตั้งใจโชว์เด็ดขาด เพราะนอกจากมันจะทำให้คุณดูเหมือนกับคนตายอดตายอยาก และเข้ามาหาเธอด้วยจุดประสงค์บางอย่างแล้ว ยังเสี่ยงที่จะโดนด่ากลับแบบไม่ได้ตั้งตัวด้วย
ไม่ต้องตั้งชื่อเล่นใหม่ให้เธอ
เมื่อทำความรู้จักกันไปได้สักพัก หรืออาจจะเริ่มคุยกันถูกคอ มักจะมีหนุ่มๆ บางประเภทที่ทำตัวแอ๊บแบ๊วและเรียกชื่อเล่นใหม่ให้สาวที่เพิ่งเจอหน้ากัน ซึ่งมันก็ดูน่ารักดีนะแต่เรื่องแบบนี้มันมีแต่ในหนังสือนิยายราคาถูกเท่า นั้นแหละ เพราะชีวิตจริงเพราะเธอมีชื่อเล่นให้คุณเรียกอยู่แล้ว ก็จงเรียกตามนั้น
ชมเธอว่าสวยก็พอ
แม้คุณจะเป็นคนตรงๆ แต่ก็ชมแค่นี้พอ ไม่ต้องต่อเติมว่าเธออึ๋มขนาดไหน หรือเซ็กซี่เพียงไหน เพราะไม่ว่าสาวๆ เขาจะเว้าหน้า เว้าหลัง หรือตั้งใจโชว์สามเหลี่ยมทองคำขนาดไหน เธอก็ไม่ต้องการให้ใครมาพูดกับเธอแบบนี้ในที่สาธารณะแน่นอน
ถ้าได้เต้นรำ จงหันมามองหน้าเธอซะ
แม้ในหนังหลายเรื่องจะสื่อว่าคุณสามารถเต้นรำโดยเข้าจากด้านหลังของเธอได้ แต่เชื่อเถอะครับว่าชีวิตจริงแล้ว เธอต้องการมองหน้าคุณมากกว่าจะปล่อยให้หนุ่มหน้าใหม่อย่างคุณไปยืนแอ่นอยู่ ด้านหลังของเธอ
ดื่มหนักไม่ได้แปลว่าเก่ง
ใครที่คิดจะโชว์สาวด้วยการดวลเหล้า เพื่อประกาศว่าผมนี่คอแข็งที่สุดแล้ว ซึ่งมันก็น่าประทับใจนะถ้าอยู่ในวงเหล้า แต่กับคนที่เขาจะเอาคุณมาร่วมชีวิตด้วย เรื่องคอแข็งคออ่อนมันแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิดเดียว
พยายามอยู่ในระยะสายตาของเธอ
เมื่อเรดาร์ล็อคเป้าได้แล้ว ก็ควรแสดงตัวออกมาด้วย อย่าทำตัวเป็นอีแอบที่หลบสายตาเวลาเธอมอง แล้วแอบโลมเลียเวลาเธอเผลอ เพราะนอกจากมันจะดูไม่แมนแล้ว เชื่อเถอะว่าผู้หญิงทุกคนเขารู้ตัวทั้งนั้นแหละว่าโดนลวนลามทางสายตาหรือ เปล่า อยู่ที่ว่าเธอจะพูดหรือไม่เท่านั้นแหละ
ผ่อนคลายเข้าไว้
เมื่อประกาศตัวไปแล้วว่าคุณมองเธออยู่นะ ก็อย่าลุกลี้ลุกรนจนออกนอกหน้า พยายามนิ่งเข้าไว้ แม้เธอจะดูออกก็ตามว่าคุณกำลังแอ๊บนิ่งอยู่ก็ตามที แต่มันก็ยังดูดีกว่าการที่คุณเดินกำมือถือเข้าไปเนียนๆ และเริ่มต้นการสนทนาว่า ขอเบอร์/ขอไลน์ ได้ไหมครับ
ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเหล้าเธอ
อย่าคิดว่าแค่เลี้ยงเหล้าแล้วเธอจะกลายเป็นของคุณได้ ตรงกันข้ามนั่นจะยิ่งทำให้คุณดูเป็นคนหิวๆ ที่จ้องจะหลอกมอมเหล้าเธอซะอีก ทางที่ดีเริ่มต้นด้วยการแนะตัวและพูดคุยกันจะดีกว่า หรือถ้าคุณคิดว่าการเลี้ยงเหล้าคือวิธีที่ดีที่สุด คุณก็จะได้ผู้อยากเหล้ามาอยู่ข้างๆ เช่นกัน
รวมถึงเพื่อนๆ ของเธอด้วย
การคิดจะเข้าทางเพื่อนอาจฟังดูเป็นเรื่องดี แต่การโชว์ป๋าท่ามกลางสาวๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน คุณอาจหมดตัวเอาง่ายๆ โดยที่ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลยแม้แต่เบอร์รองเท้าของเธอ
เก็บตังค์ในกระเป๋าคุณไว้ซะ
คุณอาจคิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่ผู้หญิงที่ซื้อมาได้ด้วยเงิน ก็มักพาความยุ่งยากมาฝากคุณอยู่เสมอ ฉะนั้นไม่ต้องโชว์ป๋าและดูอาการของเธอเหล่านั้นว่าถ้าคุณแอบเงินไว้ใน กระเป๋าแล้วเข้าไปหาเธอตัวเปล่า ผลจะเป็นยังไง
ถ้าคิดจะคุยก็จงมองหน้า อย่ามองนม
เมื่อผ่านด่านแรกจนสามารถเข้าไปคุยกับเธอได้แล้ว แนะนำว่าอย่าละสายตาจากใบหน้าของเธอไปยังเนินอกที่เธอตั้งใจโชว์เด็ดขาด เพราะนอกจากมันจะทำให้คุณดูเหมือนกับคนตายอดตายอยาก และเข้ามาหาเธอด้วยจุดประสงค์บางอย่างแล้ว ยังเสี่ยงที่จะโดนด่ากลับแบบไม่ได้ตั้งตัวด้วย
ไม่ต้องตั้งชื่อเล่นใหม่ให้เธอ
เมื่อทำความรู้จักกันไปได้สักพัก หรืออาจจะเริ่มคุยกันถูกคอ มักจะมีหนุ่มๆ บางประเภทที่ทำตัวแอ๊บแบ๊วและเรียกชื่อเล่นใหม่ให้สาวที่เพิ่งเจอหน้ากัน ซึ่งมันก็ดูน่ารักดีนะแต่เรื่องแบบนี้มันมีแต่ในหนังสือนิยายราคาถูกเท่า นั้นแหละ เพราะชีวิตจริงเพราะเธอมีชื่อเล่นให้คุณเรียกอยู่แล้ว ก็จงเรียกตามนั้น
ชมเธอว่าสวยก็พอ
แม้คุณจะเป็นคนตรงๆ แต่ก็ชมแค่นี้พอ ไม่ต้องต่อเติมว่าเธออึ๋มขนาดไหน หรือเซ็กซี่เพียงไหน เพราะไม่ว่าสาวๆ เขาจะเว้าหน้า เว้าหลัง หรือตั้งใจโชว์สามเหลี่ยมทองคำขนาดไหน เธอก็ไม่ต้องการให้ใครมาพูดกับเธอแบบนี้ในที่สาธารณะแน่นอน
ถ้าได้เต้นรำ จงหันมามองหน้าเธอซะ
แม้ในหนังหลายเรื่องจะสื่อว่าคุณสามารถเต้นรำโดยเข้าจากด้านหลังของเธอได้ แต่เชื่อเถอะครับว่าชีวิตจริงแล้ว เธอต้องการมองหน้าคุณมากกว่าจะปล่อยให้หนุ่มหน้าใหม่อย่างคุณไปยืนแอ่นอยู่ ด้านหลังของเธอ
ดื่มหนักไม่ได้แปลว่าเก่ง
ใครที่คิดจะโชว์สาวด้วยการดวลเหล้า เพื่อประกาศว่าผมนี่คอแข็งที่สุดแล้ว ซึ่งมันก็น่าประทับใจนะถ้าอยู่ในวงเหล้า แต่กับคนที่เขาจะเอาคุณมาร่วมชีวิตด้วย เรื่องคอแข็งคออ่อนมันแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิดเดียว
Area51
รอสเวลล์ไดอารีเร็กเคิร์ดวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 ประกาศการยึด "จานบิน" |
เขตพื้นที่51 นี้ยังเป็นเขตหวงห้ามของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เรียกกันว่าเขตพื้อที่51 ก็เพราะเป็นชื่อจุดที่ตั้งซึ่งปรากฎบนแผนที่ซึ่งตั้งอยู่ที่ทางเหนือของลาสเวกัสประมาณ 95 ไมล์ และ 13 ไมล์ทางตะวันออกทางหลวงสายที่ 375 บนถนนกรูมเลค (Grom Lake Road) ใกล้กับเมืองราเชล (Rachel) มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 155 กิโลเมตร ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มข้น และเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศเนลลิส (Nellis Air Force Range) พื้นที่บริเวณนี้ล้อมรอบไปด้วยเขตทดลองเนวาด้า หากเข้าไปในเขตหวงห้ามของเขตพื้นที่51 แล้วนั้นจะต้องพบกับพวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยคอยลาดตะเวนอยู่ โดยพวกเขาจะสวมชุดทหารพราน แต่จะไม่ติดเครื่องหมายแสดงยศแต่อย่างใด และจะขับรถจี๊ปเชโรกีสีขาว พร้อมแผ่นประกาศของรัฐบาล ผู้ละเมิดจะถูกจับกุมทันที่ พร้อมถูกปรับอย่างน้อย 600 เหรียญ หรือสองหมื่นสี่พันบาท และนอกจากนี้ฐานทัพลับแห่งนี้ มีเรดาร์คอยตรวจตราผู้บุกรุกตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นแม้แต่เครื่องบินจากหน่วยอื่นๆ ของกองทัพสหรัฐ ถ้าพบผู้บุกรุกน่านฟ้า จะส่งเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธหนักเข้าสกัดทันทีแต่ด้วยความลับที่มีอยู่ากมายกับเขตพื้นที่51 จึงมีกลุ่มคนบางกลุ่มคิดว่าอาจจะเป็นสถานที่ ที่นาซ่าใช้สร้างฉากลวงโลกของการเหยียบดวงจันทร์ หรือเป็นสถานที่เอาไว้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวและอาจจะเป็นสถานที่ชำแหละวิจัยซากของยูเอฟโอเพื่อนำมาวิจัยสร้างเครื่องบินรุ่นใหม่และหลังจากนั้นเขตพื้นที่51 ก็เริ่มเปดเผยว่าหน้าที่ของเขตพื้นที่51 นั้นมีหน้าที่คือการพัฒนาสุดยอดเครื่องบินรบรุ่นใหม่และเครื่องบินรบที่พัฒนานั้นมีเครื่องบินไฮเทคจากฐานแอเรีย 51 ซึ่งสร้างชื่อโด่งดังไปทั่วโลก ได้แก่ เครื่องบินจารกรรม "ยูทู" (the U-2 Spyplane) ที่มีเพดานบินสูงที่สุดในโลก กับ เครื่องบินลาดตระเวนทางยุทธศาสตร์ความเร็วเหนือเสียง "เอสอาร์-71 แบล๊กเบิร์ด" (the SR-71 Blackbird) โดยเครื่องบินรบ
ทั้ง 2 รุ่นมีบทบาทสูงสมัย "สงครามเย็น" ซึ่งสหรัฐทำสงครามทั้งบนดิน-ใต้ดินกับสหภาพโซเวียต
เครื่องบินจารกรรม "ยูทู" |
เครื่องบินลาดตระเวนทางยุทธศาสตร์ "เอสอาร์-71 แบล๊กเบิร์ด" |
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สถานที่น่ากลัวๆ ในไทย
บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรี
สามี-ภรรยา ชาวมอญซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นคนที่ปากจัดดุด่าเก่งแถมเป็นที่หวงของมากและด้วยเป็นคนที่ปากจัดมากจึงทำให้ถูกฆ่าแล้วทิ้งไว้หลังบ้าน หลังจากเจ้าของบ้านตายไปแล้ววันหนึ่งมีคนแอบมาขโมยผลไม้ในบ้านวิญญาณแกตามไปทวงคืนจนแทบเอากลับมาคืนไม่ทันกันเลยทีเดียว
บ้านผมผี จ.กาญจนบุรี
เนื่องจากบ้านหลังนี้มีคนตายไปทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้หญิงจึงตัดสินใจที่จะออกลาบวชและได้ปล่อยบ้านทิ้งร้างเอาไว้ ชาวบ้านเข้าใจว่าเจ้าของบ้านนั้นได้ตายไปแล้วจึงเข้าไปในบ้านแล้วพบว่าภายในบ้านมีผมเต็มไปหมดแถมบางคนยังได้ยินเสียงคนคุยกันอีกด้วย
โรงพยาบาลสยอง จ.ระยอง
โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างเอาไว้เพราะโดนพิษเศรฐกิจ ในเวลากลางคืนชาวบ้านจะเห็นโรงพยาบาลร้างแห่งนี้เปิดไฟเอาไว้บางคนเข้ามายังเห็นรถเข็นขยับได้เองอีกด้วย
สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรี
โลงที่ทำมาจากปูนเหล่านี้คือสถานที่ฝังศพไร้ญาตินับร้อยนับพัน สถานที่แห่งนี้นับว่าเป็นฮวงซุ้ยที่เฮี้ยนมาก
บ้านสี่ศพ จ.ชลบุรี
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของครอบครัวๆหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และลูกอีก 2 คน ซึ่งรวมเป็น 4 คน ซึ่งครอบครัวนี้ได้ออกไปเที่ยวและได้เกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิตกันทั้งครอบครัว แต่ชาวบ้านกลับเห็นว่าเหมือนยังมีคนอยู่ในบ้านแถมในบ้านยังมีห่วงผูกคอเต็มไปหมดบริเวณใกล้กันยังมีเหตุฆาตกรรมปริศนาอีกด้วย
บ้านผีนายพล จ.ชลบุรี
บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลของทหารมาพักผ่อนและได้ถูกฆาตกรรมแล้วนำศพไปยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านหลังนี้ ผู้คนที่ผ่านมามักจะเห็นมีควันธูปลอยออกมาจากบริเวณบ้าน
บ้านผียายสรวง จ.อยุธยา
เจ้าของบ้านเป็นหญิงชราได้เสียชีวิตลง พร้อมกับโลงภายในบ้านที่พบเห็นกันจนทุกวันนี้ ผู้คนที่ผ่านไปมายังคงได้ยินเสียงคนแก่พูดและเสียงตำหมาก
บ้านผีท่านขุน จ.อยุธยา
บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.อยุธยา
บ้านหลังนี้มีความหลังอันโหดเหี้ยมคือ พ่อตาได้ยิงลูกเขยตาย และได้นำศพของลูกเขยไปทิ้งไว้ที่บ่อหลังบ้าน ปัจจุบันยังมีร่องรอยคราบเลือดอยู่ที่ขอบกำแพง
บ้านเสาตกน้ำ้มัน จ.ราชบุรี
เสาตกน้ำมันนั้นคนไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณของนางไม้อาศัยอยู่แล้ว แถมนี่ยังเป็นบ้านร้างอีกจึงมีความน่ากลัวเป็นพิเศษ แต่ด้วยความที่เป็นบ้านร้างจึงมีพืชพรรณที่กินได้ขึ้นอยู่มีชาวบ้านบางคนไปเก็บปรากฏว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)